เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

สวัสดีครับพี่ก้อง

สบายดีนะครับ ตอนนั้นผมฝึกฌาน

ในกสินภาพพระ จนรู้สึกว่า จิตว่าง

ว่างในอรูปฌาน แล้ว ต่อยอดด้วย

สติปัฏฐาน๔ จับ รูป นาม เป็นอารมณ์

เกิดวิปัสสนูปกิเลส ฟุ้งซ่านในธรรม

ต้องใช้การกำหนด รู้ ความฟุ้งซ่านหายไป

จนมันสงบ รู้ชัดในรูปนาม จนรู้สึกว่า

จิตมันละเอียดขึ้น เห็นการเกิดดับบนจิต

ทางอายตนะทั้ง6คือ อยากเรียนถามพี่ก้องว่า

ในอดีตผมเคยสะสมมา ทางอภิญญา

หรือ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือ มาทางพุทธภูมิ

หรือเปล่าครับ

 

ขอโอกาสสอบถามอาจารย์ก้อง
ผ่านกล่องข้อความทาง PM นะครับ..

ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้า ในความกรุณาเอื้อเฟื้อครับ

 

===========

สั่งสมมาทางอภิญญา คือจะได้วิชชาสาม และปราถนาเป็นสาวกภูมิ มีวาสนาบารมีมากพอประมาณ เมื่อได้สืบทอดพระศาสนาครองผ้าเหลือง ผ่านไปห้าพรรษาจะแจ้งในธรรมสำเร็จวิชชาสาม ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา สืบทอดพระศาสนาได้ดีงามสืบไป เพราะ
ตั้งปณิธารไว้แบบนี้ครับ

 

ว่างแล้วหรือครับอาจารย์ก้องเพิ่งเห็นแวะมาครับยังไงก็อัพเดทสถานการณ์ปัจจุบันไห้ได้รับรู้บ้างนะครับเพื่อสหธรรมมิกผู้สนใจติดตามจะได้ไม่เหงาครับสาธุ

 

พอมีเวลาว่างบ้างแล้วครับ
เมื่อชะตาชีวิต ยังมีวิบากกรรมทางโลกไหลวนเวียนเข้ามา ก็มีหน้าที่แบกรับและแก้ไข สู้กันต่อไป
ไม่มีใครหลีกหนีพ้น ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม มีครรลองของมัน เมื่อทางสว่างหมดฝนแล้ว
ก็ค่อยว่ากันชีวิตเมื่อถึงเวลาย่อมมีจุดเปลี่ยนที่ดี ถ้าเราสั่งสมไว้ดีครับ สาธุ

 

มิน่าช่วงเริ่มต้นการปฏิบัติ จะยาก พอเข้าที่เข้าทาง กลายเป็นสัปปายะ

ไม่ยากเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ใจก็ตั้งมั่น เป็นสมาธิ เกิดเป็นวิปัสสนาญาณ

ว่าแต่วิชชา๓ พัฒนา เป็นอภิญญา๖ ปฏิสัมภิทา๔ ได้หรือเปล่าครับพี่

ขอบคุณมากครับพี่ก้อง

 

พัตนาได้ แต่ต้องออกธุดงค์ เข้าป่า ถ้าสอบผ่านก็จะได้อภิญญา6 เพราะตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิง แยกกายและจิต แยกรูปและนามได้อย่างสิ้นเชิง จิตมีกำลังมาก ย่อมไปถึงครับ

 

ขอบคุณมากๆครับพี่ก้อง สาธุครับพี่

 

อย่าลืมนะ ว่าบารมีทั้งปวง ไม่ใช่การสั่งสมเพียงชาติเดียวแล้วจะสำเร็จ มันต้องทำมามากพอ หลายภพชาติ เมื่อพื้นฐานดี การต่อยอดก็ทำได้ไม่ยากนัก ดังนั้น ทำอะไรก็ต้องหมั่นเพียรสั่งสมเอาเอง ใครทำใครได้ ขอใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเองสั่งสมเอง สาธุ

 

ดูจากปีที่พบเจอประสบการณ์
น่าจะเป็นองค์ล่าสุด ไม่ใช่ท่านพุฒ...
สวัสดีครับ แวะมาทักทายครับ... ^_^
พอดีได้ทริคการต่ออายุมาบ้างครับ
(สำหรับบางกรณี)
ไว้พบเจอกันตัวเป็นๆจะไป
สนทนาเรื่องนี้ด้วยนะครับ....^_^
ดูแล้วคุณก้อง น่าจะใช้
ให้เกิดประโยชน์มากกว่า
ข้าพเจ้า ณ เวลานี้ครับ

 

=========

ครับ ท่านเป็นองค์ล่าสุดครับ องค์ก่อนหน้านี้ท่านลุงพุฒ ส่วนองค์ล่าสุดปัจจุบัน ผมเองยังไม่ได้สื่อถึงท่าน เพราะตนเองยังไม่พร้อม ต้องรอเวลาเมื่อพร้อมครับ ถึงจะบอกกล่าวหลายๆอย่างที่สามารถพูดได้ครับ

การต่ออายุมาหลากหลายวิธีครับ แต่ทุกวิธีรวมลงที่เป็นการทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ครับ สิ่งเหล่านี้เท่านั้นจะนำเราให้พ้นเคราะห์ ผ่อนให้เบา ต่ออายุเราให้ยาวนานขึ้นครับ

 

เนื่องด้วยในวาระเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ ตรงกับวันที่28 กค 2561 กระผมได้มีความตั้งใจในการ สั่งสมบุญกุศล ด้วยการ จัดหาจัดสร้างพระพุทธรูปถวายให้กับทางวัดแห่งหนึ่งพร้อมด้วยปัจจัยส่วนหนึ่งเพื่อใช้ ถวายเทียนพรรษา และบูรณะฏิสังขรณ์วัด กระผมจึงขอบอกบุญมายังสาธุชนทุกท่านผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบุญร่วมกันครับ ท่านใดปราถนาร่วมบุญถวายปัจจัย สามารถโอนเงินปัจจัย มาได้ ครับ ที่ บัญชี นายทิตย์พิชัย จิตรามาศ( Mr. Titpichai Jitramas) เลขที่บัญชีคือ 386-8-02732-1
ประเภท ออมทรัพย์ ธนาคา กรุงเทพ สาขา สุวินทวงค์

ทั้งนี้ ผมได้เตรียม วัตถุมงคล และ พระเครื่องส่วนหนึ่งที่เก็บสะสมมาประมาณ 20กว่าปีเป็นของขวัญให้ไปบูชา โดย ท่านที่ร่วมทำบุญ300-900บาท จะได้ วัตถุมงคลหรือพระเครื่องทั่วไป ส่วน1,000 บาทขึ้นไป จะได้ พระเครื่องเก่าหรือพระกรุ ซึ่งผมจะส่งให้ทางไปรษณีย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จะส่งให้ตามชื่อและที่อยู่ที่ท่านแจ้งมาในข้อความครับ

สุดท้ายนี้ ด้วยอานิสงค์แห่งการสร้างพระพุทธรูป ถวาย เป็นพุทธบูชา สืบทอดพระศาสนา ด้วยอานิสงค์แห่งบุญนี้มีมากมายเอนกอนันต์ ยังผลให้ชีวตมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดทั้งทางโลกและทางธรรม และขอขอบคุณและอนุโมทนาแก่ทุกท่านที่มีจิตศรัทธาร่วมบุญในครั้งนี้ มา ณ โอกาสนี้ครับ

 

พี่ส่งมาร่วมบุญด้วยค่ะ ราวๆ๒๗๐๐บาทสาธุค่ะ
(ไม่รับวัตถุมงคลค่ะ)

 

=======

ขออนุโมทนาครับ สาธุ สาธุ สาธุ

 

พูดถึงร่างทรงมีจริงหรือไม่ คำตอบคือมีจริงก็ใช่ ไม่มีจริงก็ใช่ แต่สาระสำคัญคือ ร่างทรงเป็นคำพูดที่สือถึงการที่จิตอีกดวงผ่านกายสังขาร หนึ่งๆ ที่มีจิตเดิมประจำอยู่ จิตไม่อาจซ้อนทับจิตอีกดวงได้ใช่หรือไม่ แต่จิตอีกดวงเมื่อมีกำลังมาก ย่อมอาศัยกำลังเข้าแทรก ควบคุมกายใหม่ จิตเดิมตั้งอยู่ในสมาธิว่าง จากกายตน จิตใหม่ย่อมสัมปยุตกายใหม่ ตามกำลังอัตภาพสมควรแก่ปัจจัย แม้กระนั้น การสัมปยุตแห่งกายและจิตใหม่ย่อมเกิดขึ้นได้ตามปัจจัย แม้กระนั้น จิตย่อมสัมปยุตกัยจิตก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่มีเงื่อนไขข้อจำกัด จิตโดยแท้จริงคือพลังงานจำเพาะแม้กระนั้น จิตที่ฝึกมาดีย่อมรู้วิธี จิตเมื่อแบ่งภาคอวตาลได้ ในทางกลับกัน จิตย่อมสัมปยุตรวมได้ แต่การรวมกันของจิต ย่อมต้องมีสิ่งที่เป็นพื้นฐานเดียวกัน ธาตุใดๆ จะแยกหรือรวมต้องมีพื้นฐานเดียวกันจึงทำได้ พื้นฐานที่ว่านั้นผมจะไม่กล่าวในเวลานี้

และ เราจะไม่กล่าวในสิ่งที่เราไม่เคยก้าวล่วง แต่เราจะกล่าวในสิ่งที่เราก้าวผ่านมาแล้ว และรู้แล้วว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ กายก็คือกาย จิตก็คือจิต จิตที่ร่วมอยู่กับกายอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบ จิตใหม่กับกายใหม่ สัมปยุตได้เพราะมีปัจจัยส่งเสริม แต่ทุกอย่างก็มีเวลาของมัน ธรรมดาย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่ไม่ปกติธรรมดา ก็ย่อมมีเงื่อนไขของเวลาเป็นครื่องกำหนด เพราะเวลาก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่คอยปรับแต่งให้เหมาะสมตามธรรมดาของมัน

ดังนั้น จริงเท็จ ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตน ที่ตนเท่านั้นย่อมรู้ได้ ตนย่อมรู้ได้ก็เพราะตนได้ฝึกฝนก้าวผ่านมาแล้วนั้นเอง จึงบอกผู้อื่นได้ เมื่อยังทำไม่ได้ยังไม่เคยก้าวผ่านก็ควรฟังและศึกษาให้มากแล้วน้อมนำตนฝึกฝนตนให้ทำได้ เมื่อทำได้ด้วยตนย่อมรู้แจ่้งในตน ใครคนอื่นก็ไม่สามารถมาบิดเบือนความจริงต่างๆได้

ดังนั้นเรื่องกายและจิตนี้ มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ฝึกปฏิบัติอีกมากมายครับ สาธุ
( ปล. เห็นว่ามีประโยชน์จึงนำมาเผยแผ่ครับ)

 

======

ขออนุโมทนากับท่านทุกท่านที่ได้ร่วมสมทบทุน สมทบบุญในครั้งนี้ด้วยครับ ทั้งนี้ในราวๆกลางเดือนผมจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไปครับ สาธุ

 

ขอร่วมบุญครับพี่ก้อง

 

การมาเกิดของเราในชาติปัจจุบัน ก็แค่เป็นกฏธรรมดาที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิด ตามกฏแห่งกรรม แต่ก่อนหน้านั้นอดีตชาติเก่าก่อน เรามีพ่อมีแม่มาแล้วหลายภพชาตินับไม่ถ้วน เรามีครูอาจารย์มาแล้วนับไม่ถ้วน เรามีลูกเมียสามีมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เรามีผู้อุปภัมภ์ช่วยเหลือมาแล้วมากมายบนับไม่ถ้วน เรามีเจ้าหนี้และลูกหนี้ คือเจ้ากรรมนายเวรมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน

วันนี้ชาตินี้ปัจจุบันนี้จงมีสติในความมีเราและความไม่มีเรา
ผู้บรรลุแล้วในความดี ย่อมทำความดี เพราะเข้าใจถึงสิ่งที่ทำดี ผลแห่งความดีที่จะได้รับอย่างแจ่มชัดโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะสักแต่ว่าทำเพราะผลที่ทำนั้นเกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น นั้นเองครับ

จงอย่ายึดติดในความเป็นโน่นนี่นั่น แต่ให้สักแต่ว่าทำหน้าที่ของตนให้ดีงาม สักแต่ว่าสร้างกุศล สร้างความดีตามกำลัง

ท่านอาจไม่รู้ว่าแท้จริง คนที่อยู่รอบๆตัวท่านเกี่ยวพันธ์กับท่านอย่างไร ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นพึงไม่ประมาทและอย่ายึดมั่นในความเป็นโน่นนี่นั่น มันเป็นเพียงกรรม ที่อุปโหลก สรรพ์สร้างให้เป็นโน่นนี่นั่น ตามมายาของโลก ตามกฏแห่งกรรมก็เท่านั้นเอง

และ ไม่ว่าสิ่งภายนอกจะเป็นอะไรอย่างไร แก่นแท้คือจิตคือ ภูมิ ของท่าน ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน ท่านมีเวลาที่เหลือจะกี่ภพชาติไม่อาจทราบได้ คือการใช้กรรมเก่าสร้างกรรมใหม่ หมุนเวียนสืบไปไม่จบสิ้น และชำระจิตของท่านก็เท่านั้นเอง เมื่อใดที่ท่านชำระจิตท่านได้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นทุกข์ ทุกอย่างก็จบลง วัฏฏะสงสารของท่านก็หยุดหมุนทันที อยู่ที่ท่านเลือกให้เป็นไปตามปราถนาของท่านนั่นเอง ครับ สาธุ

 

=========

ขออนุโมทนาครับ สาธุ

 

" นัตถิ สันติ ปะระมัง สุขัง "
สุขอื่นๆ นอกจากความสงบไม่มี
อย่างนี้ก็ขัดแย้งกับ" นิพพานังปรมังสุขขัง" ละสิ

มีสหายสอบถามมา ผมจึงช่วยอธิบายว่า ผู้ที่เข้าใจย่อมเห็นว่าสองวลีธรรมนี้ เป็นสิ่งเดียวกัน อธิบายได้ว่า

" นัตถิ สันติ ปะระมัง สุขัง "
สุขอื่นๆ นอกจากความสงบไม่มี นั้นคือ ความสงบอาศัยว่าจิตสงบด้วยความว่างจากกิเลสเครื่องปรุงแต่ง ละรูปนามได้หมดสิ้นจึงว่าง จึงสงบ อาการสงบเช่นนี้ย่อมเป็นบรมสุข คือ เข้าสู่สภาวะนิพพาน

เช่นกันกับวลีที่ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง "ก็หมายความเหมือนกัน คือเมื่อใดที่จิตเข้าสู่นิพพานสภาวะ ย่อมบรมสุข เพราะหลุดพ้นแล้วความความปรุงแต่'ยึดมั่นทั้งปวง พ้นจากทุกข์ จึงว่างสงบเป็นบรมสุข หาสุขใดเสมอเหมือนแล้วไม่มี

ดังนั้น
สองประโยคนี้จึงเป็นสิ่งเดียวกันสาธุ คือความสงบที่เป็นสภาวะนิพพาน และเมื่อเป็นสภาวะนิพพานย่อมบรมสุขย่อมเป็นความสุขที่ไม่มีสุขอื่นใดเสมอเหมือนยิ่งกว่า ครับ
สาธุ