มีคำถาม ยิบย่อย ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 9 มิถุนายน 2016.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    1 วิสุทธิมรรค กล่าวว่า ผู้ทรางฌาณ 4 10000 หรือ 100000 คน จะหาผู้ได้ ทิพย์จักษุ สัก 1 คนก็แสนยาก

    คำถามคือ ถ้าเราทรงฌาณ 4 ให้ ครบ 100,000 ครั้ง หรือ เข้าถึง ได้เร็วคล่องได้ในระดับวินาที หรือ น้อยกว่านั้นได้ทุกที่ ระดับนี้ เเค่นึกก็เข้าถึง ไม่นานก็ เกิน 100000 ครั้ง ก็เป็นได้ โดยพยายามรู้ลมหายใจตลอดวันเท่าที่ทำได้ เราก็น่าจะสำเร็จได้หรือไม่ครับ

    2 อภิญญา ทำไมต้องเล่นกสินได้ 10 กองด้วยครับ ถ้า สั่งไฟได้ 1อย่าง ไม่เรียกว่า อภิญญา ได้หรือไม่ ครับ

    3 อภิญญา ผมเข้าใจว่า ผู้มีกำลังจิตถึงที่สุด เเละคล่องมาก สามารถ ทำทุกสิ่งให้เกิดขึ้นตามความคิดใช้หรือไม่ครับ ถ้าเช่นนั้น กระบวนการของอภิญญามีขั้นตอนอย่างไรครับ ทำไมถึงเป็นจริงขึ้นมาได้ครับ

    4 ความสามารถของพระโพธิสัตว์ กับพระอรหันต์ต่างกันอย่างไรครับ ผมเข้าใจว่า เป็นความคล่องตัวมากกว่าที่สะสมมามากหลายรอบ เเต่เเค่ไม่เข้านิพพาน เรียกว่าเข้าถึงอรหันต์หลายรอบ ใช้หรือไม่ครับ

    5 ในความเป็นจริง เข้านิพพานเเล้ว กลับลงมาเกิดได้หรือไม่ครับ (เเต่เชื่อว่าไม่มีคนจะกลับลงมา)

    6 ชั้นนิพพานมีวันสลายตัวหรือไม่ ครับ

    7 นิพพานเเล้วทุกๆวันต้องทำอะไรหรือไม่ หรือ ทรงฌาณอย่างเดียวได้หรือไม่ ครับ

    8 จิตวิญญาณมีจำนวนจำกัดหรือไม่ เกิดได้อย่างไร ครับ

    9 ผู้สร้างทุกสิ่งมีจริงหรือไม่ เเล้วจะมีผู้ทำลายทุกสิ่งหรือไม่ในสักวันหนึ่ง ครับ

    ขอบพระคุณ อาจารย์ เเละผู้ทรงความรู้ ความดีบารมี ในการให้ความรู้ครั้งนี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2016
  2. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผู้สร้างรถสร้างรา สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างนิยายขายฝัน สร้างคอมพิวเตอร์ สร้างโทรศัพท์มือถือ สร้างเว็บไซต์ สร้างถนนหนทาง สร้างเขื่อน สร้างดาวเทียม
    มันมีอยู่จริงไหม ทำไมถึงไม่ดู

    แต่ไอ้พวกที่อ้างว่า สร้างโลก สร้างจักรวาล สร้างมนุษย์นี้ มันใช่ตัวจริงไหม ทำไมไม่เอาหลักฐานในการสร้างมาแสดง สร้างจริงหรือแค่มากล่าวตู่เอาของที่เขามีอยู่แล้ว
    ถ้าสร้างจริง ทำไมถึงไม่รู้จักสิ่งที่มันสร้างขึ้นมา เช่นสัตว์บกสัตว์น้ำมีอะไรบ้าง ทำไมถึงไม่รู้จัก ทำไมถึงรู้จักแค่ไม่กี่อย่าง ดูแล้วความรู้น้อยยิ่งกว่าเด็กประถมหรือเด็กอนุบาลอีก ยังจะกล้ามาอ้างว่าเป็นผู้สร้างได้อีกหรือ ??
    ถ้าเป็นสร้างจริง โน่น ไปสร้างโลกใหม่ขึ้นมาอีกใบ สร้างขึ้นมาพิสูจน์
    แล้วไม่ต้องชวนเชื่อ ถ้าสร้างได้จริงเดี๋ยวจะหันไปนับถือเอง ยอมศิโรราบกราบกรานฝากชีวิตไว้เลย
    แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาอ้างสิทธิ์อ้างอะไรทั้งนั้น ในเมื่อมันพิสูจน์ไม่ได้ใครมันจะไปเชื่อ
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ ทีี่ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง
    ก็เพราะผมมีความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนานี้มาก(ศาสนาที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว) ผมไม่ชอบที่มันมากล่าวตู่หลายๆอย่าง
     
  4. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    คำว่า ผู้ทำลายทุกสิ่งนี่ น่าจะหมายถึงกาลเวลา เพราะกาลเวลาก็ทำลายทุกๆสิ่งอยู่แล้ว
     
  5. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    นิพพานในความหมายของพุทธศาสนานิกายเถรวาท หมายถึงดับ ไม่มีอีกต่อไป
     
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เดาว่าเพราะชื่อของมันนั่นเอง อภิญญา หมายถึงความรู้ที่ยิงใหญ่,ความรู้เฉพาะ
    ถ้าเกิดว่าทำได้แค่อย่างเดียว มันก็จะกลายเป็นความรู้ที่ต๊อกต๋อยไปนะสิ
    อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีฤทธิ์อย่างหนึ่ง แต่คงไม่ถึงขั้นผู้ทรงอภิญญากระมัง

    คำว่า ผู้ทรงอภิญญา ในพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนกับผู้ทรงอภิญญาของวิทยาศาสตร์ทางจิตเขา
    วิทยาศาสตร์ทางจิต ใครที่มีความสามารถทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งเขาก็เรียกว่าอภิญญา
    เช่นสะกดจิตคนได้ โทรจิตได้ หรือส่งของไปทำร้ายคนได้ แค่นี้เขาก็เรียกอภิญญากันแล้ว แถมมีอภิญญาสายขาว กับอภิญญาสายดำอีก
     
  7. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต

    บัณฑิต พึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วค่อยสอนผู้อื่นในภายหลัง จึงจะไม่มัวหมอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2016
  8. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ไม่เข้าใจครับท่าน ผมไปสอนใครหรือครับท่าน

    ถ้ามีรุ่นน้องมาถามว่าตอนผมเรียนปริญญาตรีเป็นยังไงมั่งผมสอนเขาได้ไหมคือผมรู้ผมผ่านมาผมเข้าใจ เเต่ในเรื่องที่ผมไม่รู้ผมไม่สอน หรือ ผมจะถามถ้าผมไม่เข้าใจ แล้วจู่ๆมาโพสแบบนี้เพื่ออะไร มีคนอาการคล้ายๆท่านนะครับมาโพสอีกกระทู้เเต่ไม่สื่อความหมาย เเต่กลับสื่อความหมายย้อนกลับไปที่กระทู้อื่น

    พระพุธทเจ้าท่านกล่าวว่า "เราไม่สรรเสริญผู้ ติ หรือ ผู้ที่ชม อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราสรรเสริญผู้ที่ทั้ง ติเเละ ชมผู้อื่น "
    การให้อนุโมนทาของท่านยังไม่มีแก่ผู้ใดเลยในสายตาของท่าน ไม่มีกระทู้ไหนดีพอเลยหรือครับท่านผู้ทรงความดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2016
  9. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    แปลว่า ที่โพส ไม่ได้เกี่ยวกับคุณเลย แม้แต่น้อย เป็นพฤติกรรมส่วนตัวที่มีมานาน ในการตอบปัญหาผู้ถาม ก็แค่นั้น... แต่ถ้าอยากจะเกี่ยว ก็ควรเกี่ยวในทางที่ทำให้ตนเองมีความสุข เจริญขึ้น ถ้าทำไม่ได้ดังนี้ แปลว่าคุณไม่ได้อยู่ในฐานะบัณฑิต ดั่งข้อความที่โพสไป นั่นหมายความว่า มันไม่เกี่ยวข้องกับคุณเช่นเดียวกัน ดังนี้แล...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2016
  10. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    1คุณบอกว่าไม่เกี่ยวกับผมเเล้วคุณอ้างอิงข้อความผมทำไม ในการตอบของคุณ

    2เเล้วคุณบอกว่า "เป็นพฤติกรรมส่วนตัวที่มีมานาน ในการตอบปัญหาผู้ถาม " ใครถามคุณครับก็มีผมคนเดียวที่ถามตั่งคำถาม คุณพูดจาดูขัดแย้งสิ้นดีนะครับ กับข้อความก่อนหน้าที่บอกไม่เกี่ยวกับผม

    3เเล้วคุณบอกว่า "แต่ถ้าอยากจะเกี่ยว" ใครครับที่อยากไปเกี่ยวกับคุณ ถ้าคุณไม่อ้างอิงข้อความของผม

    เเล้วสุดท้ายคุณจะบอกสอนใครกันแน่ครับ

    ส่วนผู้ที่มาตอบผมนั้นท่านก็มีการเเสดงความคิดเห็นซึ่งผมก็เก็บเฉพาะประโยชน์ขึ้นมา อาจจะไม่ทั้งหมดที่ผมจะซึมซับได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

    ผมว่าคุณกลับไปอ่านตำรา เเละตั่งใจปฏิบัติ ฟังจากอาจารย์หลายๆท่าน utube ก็มีแยะ ไม่เข้าใจก็ถามท่านผู้รู้

    คุณไปดูนะครับว่า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ท่านมีอารมณ์ จริตเป็นอย่างไร และขอให้คุณเข้าถึงอรหันต์ ในเร็ววันด้วยเถิด
     
  11. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314

    มีอีกไหม? จะให้ทำไง? ......
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    เด่วช่วยตอบให้ตามที่จะพอตอบได้นะครับ..


    '' >>>ถ้ามีความจริงสูงสุดแล้ว..มันอยู่ที่ไหนกัน?
    >>>ในศูนย์กลางของทุกวงกลม เหมือนกับตะปูและสลัก
    มันทำให้สลักเคลื่อนที่ได้ แต่ว่ามันไม่เคลื่อนไปไหน
    >>ถ้าไม่มีวงกลมมันก็ไม่มีศูนย์กลาง
    วงกลมหลายวงกำลังเคลื่อน มีจุดศูนย์กลางนับไม่ถ้วนรอบตัวเจ้า
    มีจุดศูนย์กลางนับไม่ถ้วน
    ซ่อนตัวจากธรรมชาติ เราจะเรียกมันว่าจิตก็ได้
    เล็กกว่าเมล็ดพันธ์และกว้างกว่าท้องฟ้า
    แต่ฝ่ามือของเจ้าสามารถกำได้
    คำตอบของคำถามอยู่ในฝ่ามือของเจ้า ''

    นี่คือคำลักษณะคำพูดของท่านที่สำเร็จระดับจิตธาตุ
    ที่ซึ่งมีความสามารถทำอะไรได้เหนือโลก
    แต่ว่าก็ยังไม่พ้นโลก ที่กำลังแนะนำท่าน
    ที่พ้นโลกไปแล้วอยู่นั่นหละครับ

    การเข้าถึงฌาน ๔ ได้นั้นพูดถึงแบบเข้าด้วย
    อาปาฯ ไม่ใช่การขึ้นรูปต่างๆนะครับ นอกจาก
    ต้องเข้าได้จริงแล้ว
    ยังจะต้องสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายนิ่งๆ
    ให้ได้ด้วยครับตรงนี้ต้องมาเจริญสติต่อให้มากขึ้น
    ประมาณครั้งที่ ๓ ถึง ๔ ถึงจะมีกำลังพอควบคุมจิตได้
    เพราะปกติแล้วถ้าใครเข้า
    ได้จริงๆ จะไม่มีทางควบคุมจิตให้อยู่
    ในกายได้เลยครับ มันแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติครับ
    เพราะจิตเดิมนิสัยมันจะชอบส่งออกหรือท่องเที่ยวเป็นทุนครับ..
    แต่ว่าจิตมันก็จะอยู่ใกล้ๆร่าง
    กายนั้นหละครับไม่ได้ไปไหนไกล หลายคน
    ถึงได้เห็นตัวเองอีกตัวไงครับ..

    ยกเว้นว่าเคยทำได้แล้วใช้วิชาพิเศษถึงจะไปได้ไกลครับ
    และก็ต้องมาดูอีกว่า เมื่อบังคับจิตให้นิ่งๆอยู่ในกายได้แล้วนั้น
    จิตจะวิ่งดูอวัยวะภายใน หรือซ้อนเข้าไปในจิตจนเกิดการ
    ระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท ถ้าอย่างแรกจะได้ผลเรื่องการตัด
    ร่างกาย ถ้าอย่างหลังจะมีความสามารถกลับมาใช้งานได้
    แม้ในเวลาลืมตาปกติครับบางท่านจึงบอกว่า ถ้าทำได้
    มันจะคลอบคลุมกรรมฐานทั้ง ๓๒ กองนั้นหละครับ


    ส่วนถ้าไม่ใช่กรณีจิตซ้อนในจิต
    และเมื่อเข้าได้แล้ว ถ้าในเวลาปกติลืมตา
    จิตมันจะต้องสามารถคลายตัวได้ด้วยตัวเอง
    ด้วยครับ ความสามารถถึงจะค่อยๆเกิด ส่วนจะเกิด
    อะไรก็แล้วแต่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตนั้นๆ

    อ่านที่ผมเขียนชุดนี้ให้เข้าใจ..
    ประกันได้ว่า จะไม่มีทางหลงตัวเองแน่นอนครับ..
    แม้ว่าเราจะทำได้จริงๆเราก็จะไม่หลงครับ...
    เรื่องแบบนี้ ถ้าสภาวะไม่ได้แบบนี้ ทำไม่ได้แบบนี้
    มาก่อนจริงๆ แม้ไม่มีความสามารถทำได้จริง
    ความเข้าใจนามธรรมไม่เข้าดีจริง
    มันก็สามารถทำให้หลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงครับ..
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  13. มงคล พิมพา

    มงคล พิมพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +184
    ยิบ ย่อย จริงๆแฮ่ะ
    ผมขอตอบอย่างหยาบๆเฉพาะส่วนที่ผมเข้าใจนะครับ
    1. ตอบ เมื่อทรงฌาน4ได้แล้วก็ฝึกต่อตามที่ วิสุทธิมรรค กล่าวไว้นั่นละครับในหลักสูตร วิชชา๓ กับอภิญญา๖ นอกจากคุณจะมีของเก่าคุณก็จะกลายเป็น 1 ใน 100000 คนนั่นละ
    2.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    3.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    4.ไม่ใช่
    5.ไม่ได้ ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทางหลุดพ้นเป็นทางของผู้ไม่เกิดอีก
    6.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    7.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    8.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    9.ทำตามข้อที่1ให้ได้ก็จะรู้เอง
    ขอความเจริญในธรรมจงปรากฎแก่เจ้าของกระทู้โดยฉับพลัน สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2016
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ วิสุทธิมรรค เป็น "อรรถกถา" โดย พระพุทธโฆสะ ชาวอินเดีย เป็นผู้เขียนในภาษาบาลี เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 มีเนื้อหาที่อธิบายเกี่ยวกับ ศีล สมาธิ และปัญญา ตามแนววิสุทธิ 7

    +++ ผม วาง เอาไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ไม่ทราบว่า "แปลกันมากี่ตลบ" ภาษาที่ใช้ "ย่อมคลาดเคลื่อนหลุดออกจากอาการที่แท้จริง ย่อมเกิดขึ้นได้" ผมวางไว้เฉย ๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน

    +++ อภิญญา เป็นเรื่อง "ปัญญาในการใช้ขันธ์ (รูป) และพลังงานที่ทำให้ขันธ์คงสภาพ (นาม - ธรรมารมณ์)" ดังนั้น ไม่ได้จำกัดที่ "กสิน" เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่อง "การใช้ รูป-นาม" เท่านั้นเอง ลองหาอ่าน "จิตคือพุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เพื่อเสริมความเข้าใจในทางนี้ดู

    +++ "กำลังจิต" คือการ "ครองตน ในใจกลางของ นามแห่งพลังงาน นั้น ๆ (ฌาน)(อธิปะติปัจจัยโย ในมหาปัฏฐานสูตร)" ส่วนการดัดแปลงทางด้าน "รูป" ต้องสัมพันธ์ กับความสัมพันธ์ต่อ "นาม" เช่นกัน หากตรงนี้ ไม่สัมพันธ์กัน สิ่งที่เรียกว่า "วิบาก" ย่อมตามมา

    +++ พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ graduation แล้ว ไม่ต้องวุ่นวาย "หาทุน" มาเรียนอีก

    +++ ส่วนพระโพธิสัตว์ กำลังอยู่ในช่วง "อยากเรียนมาก ๆ" "หาทุนมาเรียนมาก ๆ" ส่วน "นิยตโพธิสัตว์" นั้นเป็นแบบ "กำลังเรียนด้วย หาทุนเรียนไปด้วย" คงมองได้ไม่ยากนะ

    +++ ตอบง่าย ๆ ว่า พ้นจาก "สภาวะที่เรียกว่า ตน" แล้ว และสามารถ "สลาย ตน ทิ้งได้" และ ตนเท่านั้นเป็น จุติจิต เมื่อสลายแล้ว การเกิดอีก "ย่อมไม่มี (ใน 3 โลก)"

    +++ ตรงนี้เป็นสภาวะ ที่ไม่เหมือนใคร สภาวะที่ "ไม่มีวันสลาย" มีอยู่ 2 สภาวะ คือ

    1. เนื้ออวกาศ ไม่สลาย "ไม่มี เกิด แก่ ตาย" แต่ "เจ็บ ความแปรปรวน และ ทุกข์" ยังมีอยู่ ใน "จิต" ต่าง ๆ (ค่อย ๆ ศึกษาดูในเรื่อง โลกธาตุ (ดิน) ตั้งอยู่บนน้ำ และ น้ำตั้งอยู่บนอากาศ)

    2. เนื้อนิพพานธาตุ "ไม่มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ รวมทั้ง ความแปรปรวน ทั้งหมด" เป็น "เสถียรภาพ ภราดรภาพ นิรันดร์กาล" ผมวางไว้แค่นี้พอ

    +++ "ฌาน (ทั้งแบบเพ่ง และ แบบแผ่)" ไม่สามารถ ตั้งอยู่ได้ ในนิพพาน ผมวางไว้แค่นี้พอ

    +++ ไม่จำกัด และ เกิดอย่าง "ต่อเนื่องไม่หยุดยังตลอดเวลา" จากการเคลื่อนตัวของ กาล-อวกาศ การเกิดมีอยู่ 3 ชนิด

    1. เกิดแล้ว สลายกลับกลายเป็น กาลอวกาศดังเดิม ไม่มีโอกาสเป็นทั้งจิตและอนุภาคธาตุ โดยคร่าว ๆ 70 %
    2. เกิดแล้ว คงอยู่ คล้ายกำเนิด "ตัวดู" แต่ไม่มีสภาวะแห่ง ความเป็นจิต กลายเป็น "อณู หรือ อนุภาคธาตุ" ปัจจุบัณเรียกว่า subatomic 18 %
    3. เกิดแล้ว คงอยู่ มีสภาวะแห่ง ความเป็นจิต วิวัฒนาการมาเป็น "ชีวิตา" คร่าว ๆ 12 %

    +++ ผู้ที่จะออกทำการศึกษาตรงนี้ได้ ควรคล่องใน "สมาบัติแบบแผ่ (เท่านั้น) จาก 1-8" และควรจะสามารถทำการ "คร่อมสมาบัติทั้ง 8" ด้วย "สติครอง รูป-อรูป" ได้พอสมควร

    +++ อย่าเอาลัทธิ จานบิน+ปิรามิด ที่รู้จักกัน เอาเข้ามามั่ว กับโพสท์นี้ก็แล้วกัน อีกประการหนึ่ง คือ ตรงนี้ "ไม่เกี่ยวกับ 3 โลก ที่ยังอยู่ใน ภพภูมิ" ดังนั้นอย่าเอาเข้ามาปน

    +++ ลองหาอ่าน "จิตคือพุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือบทความบางประการของ หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย เพื่อเสริมความเข้าใจในทางนี้ดู ผู้ที่ผ่านทางนี้มาแล้ว "ยังมี"

    +++ โพสท์นี้ "ทิ้งทาง" ไว้ให้กับผู้ที่ "มีจริต-อุปนิสัย-บารมี" ที่อาจผ่านทางมาในอนาคต เท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ "การกำเนิดแห่งตน ตามสภาวะธรรมชาติ" ก็ขอให้ข้ามผ่านไป ก็แล้วกัน

    +++ "มีทั้งคู่" และทั้งคู่คือ กาลอวกาศ ส่วนพวก "บุคคลาฐิษฐาน" ไม่เกี่ยว

    +++ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย คำว่า "ยะโฮวา" ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาฮีบรูโบราณ พวกนั้นยัง "สะกดไม่ถูกต้อง" เลย

    +++ พวกมันเคยแต่ "ขออุตหลุด" แต่ไม่เคยขอให้ "พระเจ้า (ของพวกมัน) สะกดชื่อที่ถูกต้อง" ด้วยตัวท่านเอง สักครั้งเดียว พวกมันได้แต่พูด แต่ไม่เคยเจอ

    +++ ดังนั้นมันก็ไม่มีอะไรต่างไปจากพวกลัทธิ จานบิน+ปิรามิด นั่นแหละ ต่างกันแค่ตรง ของพวกมัน เก่ากว่า เท่านั้นเอง

    +++ จิตดวงที่ "เคยเป็น" พระเจ้าของพวก "แอบอ้าง" นั้น เร่งความเพียร ได้อย่างน่าชื่นชม จนออกจากชั้น "รูป" ไปเรียบร้อยแล้ว และไม่หันกลับมามอง "กามาวจร" อีกเลย

    +++ คงเป็น "แค่เพียง กระสายยา" เท่านั้น ให้เชี่ยวชาญใน สมาบัติแบบแผ่คลี่คลายสลายตัว จนถึงที่สุด แล้วจะได้ออกศึกษาได้ด้วยตัวของคุณเอง (การศึกษาใน "สมาบัติแบบเปิด" จากอัปปนาสมาธิแบบ "แผ่จางคลายสลายตัว")

    +++ โพสท์นี้เป็นแค่เพียง "การตอบเฉพาะเรื่อง" ส่วนที่ เกินหรือขาด จากคำถาม "ยิบย่อย จนถึง ถี่ยิบ" จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ นะครับ
     
  15. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    กรณีของคุณ"จริงนะ" เวลาที่จะตอบปัญหาอะไร มักชอบยกเอาพุทธภาษิต พร้อมคำแปลมาโปะหน้า
    ทำให้ดูเหมือนว่า เขาน่าจะเป็นผู้ที่รอบรู้ในคำสั่งสอน
    ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงคนหนึ่ง....แต่พอไปดูคำตอบที่แสดงความคิดเห็น...
    ปรากฏว่าไปคนละเรื่อง...แต่ละอย่างที่แสดงความคิดเห็นออกมา..ไม่ได้มีอะไรที่
    ตรงกับหลักคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกเลยสักนิด...ทุกอย่างตรงข้ามกันหมด

    มันจึงเหมือนคนที่เอาหน้ากากของพระพุทธมาสวมไว้เฉยๆเท่านั้น...
    ผมว่าคุณ"จริงนะ" น่าจะไปเปลี่ยนชื่อซะใหม่เป็น"ไม่จริงเลย"...จริงจะถูกต้องที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2016
  16. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    แค่นี้เองเหรอ มีอีกม๊ะ....
     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เอาเท่าที่เห็นก็มีแค่นี้แหละ แต่ที่ยังไม่เคยเห็นไม่ทราบ
     
  18. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ยิบย่อย 2

    1 ท่านทราบว่าชาญ 4 สมบูรณ์ มีอาการใดที่จะวัดได้บ้างครับ

    2 การวัดฌาณ4สมบูรณ์ โดยใช้เวลาในการนั่งสมาธิ ท่านคิดว่า อย่างน้อยต้องนั่งได้กี่ชมถึงจะบอกว่า ใกล้ฌาณ4 สมบูรณ์ เช่น 3-4 ชม(นั่งไม่ขยับ)

    3 เราสามารถใช้กำลังฌาณ 4 จาก อานาปา เพื่ออธิฐานจิตในธาตุทั้งสี่ หรือ อื่นๆได้หรือไม่โดยไม่ได้กำหนดกสิณไปสู่ฌาณ4

    4 อรูปฌาณ จำเป็นหรือไม่สำหรับนิพพาน ครับ

    5 เมื่อต้องการ อธิฐานจิต ต้องเข้าฌาณ4ให้สุดหรือไม่ เเละต้องสุดนานแค่ไหนถึงจะดีครับ

    6 ถ้าอธิฐานจิต ของใหญ่ ของเยอะ กับของเล็ก ของน้อย ผลต่างกันหรือไม่ ถ้าเเตกต่างกัน มีอะไรที่จะใช้ทดสอบแบบง่ายๆหรือไม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2016
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ตอบ ก็อฐิษฐานดูว่า ได้ผลหรือเปล่ายังไงครับ เช่น อฐิษฐานให้มีไฟรอบๆตัว
    ให้มีน้ำตกรอบตัวเรา แล้วดูว่า มันเกิดขึ้นจริงๆหรือเปล่าไงครับ
    ไม่ใช่หลับตาเห็นนะครับลืมตาเห็นๆนะครับ
    แต่ว่า โดยปกติแล้ว มันจะเกิดให้เราเห็น แต่พอตกพื้นแล้วก็จะหายไปครับ...
    นี่ง่ายสุดแล้วครับสำหรับการทดสอบ แต่ไม่ใช่ง่ายๆในทางปฏิบัติครับ..
    เข้าใจนะครับ..อย่าเผลอไปเปรียบกับครูบาร์อาจารย์สมัยก่อน
    ที่หายใจเข้าพรวดเดียวแล้วเกิดผลนะครับ เพราะนั่นระดับโปรซีรีย์แล้ว..
    อย่างเราๆ นั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง ครึ่งชั่วโมงแล้วเกิดผลก็เก่งแล้วครับ..
    บางคนทั้งชาติทำไม่ได้ก็มีนะครับเรื่องแบบนี้...แต่ก็ยังเข้าใจว่าตนเอง
    สามารถเข้าถึงฌาน ๔ ได้จริงๆ ระมัดระวังการเข้าใจคาดเคลื่อน
    ตรงนี้ให้ดีๆด้วยนะครับ..ประกันได้ว่า ถ้าทดสอบแล้วเข้าใจแบบนี้
    จะไม่มีทางเข้าใจตัวเองคาดเคลื่อนครับ
     
  20. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    เรียนท่าน อาจารย์ทั้งหลาย ตอนนี้ผมมีอาการจิตดังนี้ครับ เเละมีคำถามในส่วนสุดท้ายครับ

    หลังจากที่ผมสะสมการทำสมาธิจนเข้าใจว่าเข้ามาถึงฌาณ ที่ 4 ผมมีอาการดังนี้ ถูกผิดอย่างไรชี้เเนะด้วยครับ

    ช่วงหลังๆผมจะเริ่มจับต้องสมาธิได้ง่าย เข้าใจอาการ เข้าใจตัวของสมาธิ ผมจะเริ่มกำหนดดูรู้ถึงลมหายใจ จากลมหายใจยาวไปสั้นใจเบาละเอียดประมาณ 10 ครั้ง หลังจากนั้นจะพบว่าอารมณ์ผ่านเข้าฌาณที่ 3 เลยครับ ฌาณ 1 2จะผ่านไวมาก ประมาณในครั้งที่ 9 10 ของการดูลมหายใจครับ หลังจากเข้าฌาณที่ 3 ผมก็ละซึ่งการรู้ลมไปแบบเนียนๆเอง เข้าสู่ความสงบนิ่ง เนียน แต่ยังสัมผัสได้ถึง อาการของร่างกายที่ยังสูบฉีดอากาศเข้าออกครับ เเละในช่วงนี้จิตนิ่งเนียนมากๆจิตจะจดจ่อมากเเละไม่รับสัมผัสหายนอกมากนัก คือเสียงที่ปกติจะได้ยินจากบ้านไม้ในตอนกลางคืน จะลดลงไป 70% คือไม่ได้สนใจ เเต่ถ้าไปสนใจว่่าได้ยินหรือไม่อันนี้ได้ยินแน่นอนจิตมันคลายตัวออกมาคิดเสียเเล้วครับ

    จากนี้ผมจะอธิบายถึง กำลังสมาธิของเมื่อวาน เเละเมื่อคืนนี้ครับ

    เมื่อวานผมกำหนดว่าจะทำสมาธิให้ได้ 2 ชม ตั่งเวลาเอาไว้คือ ก็นั่งฝืนมาได้ด้วยความฝืนสังขารมาได้ ซึ่งผมต้องเพ่งรวมจิตอย่างมากเล่นเอาวันต่อมาหน้าผากสมองส่วนหน้าของผมชาๆเหมือนจะระบม ทั้งวัน ซึ่งผมพอจะเข้าใจมาว่าสมองส่วนหน้าที่ทำงานร่วมกับการกำหนดสมาธินั้นเอง ครับอันนี้ผมไม่แปลกใจครับ ต่อมาหลังจากที่ผม กลับตัวลงนอนปรากฎว่าไม่อาการชาใดๆ มีเพียงอาการปวดเมื่อยตามข้อต่างๆของช่วงขา ในการทำสมาธิครั้งนี้ผมมีสมาธิที่ไม่นิ่ง เป็นสมาธิที่มีความผันผวนเเต่ผันผวนในระดับสูง คือใช้กำลังใจการกระชากสมาธิ มากกว่าใช้ปัญญาเเละอารมณ์ความสงบ สรุปว่าคืนนี้ผมได้กำลังใจ กำลังสมาธิแบบเถื่อนๆชะชากถูไถบีบคั่นเพื่อให้ร่างกายมันทรงได้ 2 ชม ครับ

    ในคืนต่อมามีการพัฒนาที่ดีกว่ามากจริงๆครับ คือจับบมหายใจ 10 ฝอด ผ่านฌาณ 3 และฌาณ 4แบบไวๆเนียนๆ หลังจากที่ผมกำสมาธิไป 1 ชม ขึ้นไป ก็ยังไม่รู้สึกอาการทรมารใดๆกับร่างกายมันเบามันไม่รู้สึกว่าต้องอดทน อันนี้ผมพอใจอย่างยิ่งครับ คือไม่ต้องอดทนชิวๆ ครับ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนอารม์โปร่งโล่ง คืนนี้แอร์ผมเสีย ผมเลยเปิดหน้าต่างปรากฏว่าพี่ยุงมาตรึม ปรากฏว่ามียุ่งมากัด พอจะรู้สึอาการรู้สึกเเค่ 20% จากปกติ ไม่รู้สึกคันรู้สึกด้านๆ มีบางตัวมากัดหน้า รู้สึกถึงหน้าว่า หน้าชามากหนังมันหนาๆ เหมือนยุงกันไม่ถึงเรา จมูกเเละหน้ามีอาการเหมือนจะเบี้ยวไปมายู่ยี่
    มีบางตัวมาบินตรงหู หลายรอบเเต่ไม่กัด ประมาณว่ามากวนหลายทีมาก เเละสิ่งใหม่ที่ผมเห็นชัดเจนคือผมสัมผัสถึงระยะของจิตที่รู้ลมหายใจกับอาการของร่างกายที่หายใจมันมีระยะที่ห่างกันมาก คือกำหนดรู้เเล้วว่าร่างกายมันหายใจ เเต่กว่าจะปรากฏชัดเจนว่าร่างกายมันหายใจจริงๆ มันดีเลย์ ครับช่วงเวลามันยืดออกอย่าง งงงวยครับ เริ่มรู้สึกว่าจิตของเรามันเป็นส่วนหนึ่ง กายของเรามันเป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งปกติ จิตกับกายจะรู้ทันทีเสี้ยววินาที เช่น ยุงกัดจีดเลย เป็นต้น อีกส่วนที่สัมผัสได้ชัดมากขึ้นคือ มีความสว่างมากเวลาจิตเนียนเเละไม่รับรู้สิ่งใดแม้ลมหายใจ(ผมรอสัมผัสมานานเเล้วที่ว่าไม่มีลมหายใจเป็นยังไง) การไม่มีลมหายใจนั้นเราต้องไม่ไปเรียกร้องหาลมหายใจจิตมันตัดไปเอง มันพอใจเอง เเต่ถ้าเราไปหาลมหายใจเราจะได้รู้เเน่นอน เพราะจิตกลับมาคิดเสียเเล้ว
    ที่ผมสรุปคือ อย่าไปสนใจอาการของกายทุกอย่าง(อาการฌาณ 4 อาจจะประมาณได้บางส่วนว่า จิตจะมีอาการตึบๆความคิดถูกดึงดูดเป็นหนึ่งเเละไม่สามารถคิดอะไรได้ ถ้าไม่ฝืน และแน่นอนว่าไม่นึกถึงลมหายใจ เเละอาการทางร่างกาย คือ เอกคัตตา นั้นเอง ที่ผมจะเริ่มเข้าใจก็ครั้งนี้หละครับ เข้าใจถูกหรือไม่ก็ไม่เเน่ใจครับ)

    ผมมีคำถาม คือ ตอนเห็นแสงสว่างเข้ามา ต่อไปจะเป็นอย่างไรครับ เเล้วอาการเห็นแสงสว่าง คือจุดที่ดีที่สุดของการทำสมาธิผมเเล้วหรือไม่ที่ผมเล่ามา เเละแสงสว่างคือจุดที่จะต่อไปจุดอื่นๆที่จะดีกว่าใช้หรือไม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...