ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ช่วงนี้ "สำหรับกลุ่มใหม่ ที่ต้องการจะฝึกตั้งแต่เริ่มต้น" ก็ให้จัดกลุ่มรวมตัวกันเสียแต่เนิ่น ๆ แล้ว PM มาถึงผม

    +++ ในช่วงแรก ๆ อาจใช้วิธี Conference ไปก่อนเพื่อความสะดวก (วิธีทำจะตอบใน PM)

    +++ อาจมี "รุ่นเก่า" บางคนที่ "ผ่านประสพการณ์" มาแล้วมาช่วยสอนให้เป็นบางช่วง

    +++ การเรียนการสอน จะมาจาก "ภาคปฏิบัติ ตามประสพการณ์ล้วน ๆ" ไม่มี "ภาคทฤษฏี" ใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

    +++ ผู้ที่สนใจที่จะ "ฝึก" ขั้นต่ำควร "ทำความรู้สึกตัว" ได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร

    +++ การฝึกจะเป็น "การสอนการเดินจิตล้วน ๆ" อย่างอื่นไม่เกี่ยว สามารถใช้ Conference ในการ "สอบจิต" ได้

    +++ ผู้ที่สนใจที่จะ "ฝึก" ก็ให้ PM เข้ามาได้ในช่วงนี้ นะครับ
     
  2. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ช่วงนี้เวลาแผ่สภาวะรู้ จะมีอาการเหมือนกับ "ตื่น" อยู่ในเนื้ออากาศ นะคะ
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    2 - 3 วันที่ผ่านมานี้ มีอาการคิดถึงครูบาอาจารย์มากๆๆๆ อิอิ ช่วงนี้ยังอยู่เมืองไทย ลูกขอร้องให้มาร่วมแต่งงานของลูก ลูกจะได้ถือโอกาสขอขมาแม่

    เดี๋ยวยังไงมีโอกาสจะเข้ามาเล่าอะไรๆให้ฟังที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติ ที่แน่ๆ ตั้งแต่ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์( อาจารย์ธรรมชาติ)ท่านสอน ในช่วงระยะหลังๆที่เงียบหายไป จะคอยสังเกตุดูตัวเองตลอดเวลา และก็ได้รู้แล้วว่าตัวเราเองได้พ้นจากทุกข์ไปแล้ว

    กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์(อาจารย์ธรรมชาติ)ที่ให้คำแนะนำคำสั่งสอน ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้ปฏิบัติมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าไม่มีท่าน เราคงจะยังจมปลั่กในขี้โคลนอยู่แน่เลย
     
  4. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    เข้ามาส่งอารมณ์อาจารย์คับ
    หลังจากที่ได้สอบถามความนัยกับอาจารย์มาสองครั้ง อาจารย์ได้แนะนำการจับความรู้สึกทั่วทั้งตัวผมก็มาลองปฏติบัติตาม โดยปกติผมจะจับอานาปนสติเป็นหลักพออารมณ์สงบก็จะเบาๆสบายซึ่งผมค่อนข้างติดอารมณ์นี้ พออาจารย์บอกให้หันมาจับสติทั่วตัวก็ค่อนข้างข้างทุลักทุเลพอสมควรเพราะมันไม่เบาสบายเหมือนจับลม แต่เมื่อวานรู้สึกมีอาการบางอย่างเกิดขึ้นขณะที่ฝึกความรู้สึกทั่วทั้งตัว คือขณะที่นอนพักผ่อนผมกำหนดความรู้สึกทั่วทั้งตัวไปด้วย พอเคลิ้มๆเหมือนมีอีกกายหนึ่งเคลื่อนไหวรางๆพลิกซ้ายพลิกขวาคล้ายจะออกจากกายเนื้อผมก็ดูๆไปสนุกดีไม่เคยเห็น ครั้นจะหลับก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเหมือนตีกลองในขณะนั้นคือเหมือนจิตมันมาจ่อที่หัวใจไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่นนอกจากเสียงหัวใจเต้นถี่ๆโครมๆ
    เอาล่ะสิก็หันไปสำรวจลมหายใจบ้างว่ายังอยู่มั้ยรึว่าเราตายไปแล้วเพราะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนกายภายนอกไม่รุ้สึกได้ยินแค่เสียงหัวใจเท่านั้น แต่ก็รุ้สึกได้ว่าลมหายใจยังอยุ่นะยังไม่ตาย(โล่งอก)มันรุ้สึกบีบคั้นยังไงบอกไม่ถูกชีพจรเต้นถี่ ผมดูอาการนี้อยุ่สักพักไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ลืมตาจากการนอน(ผมไม่ได้หลับ) พอลืมตาขึ้นมาเสียงหัวใจก็ยังดังกลบเสียงอื่นอยุ่นั่นเองนอนฟังอยู่อย่างนั้นหลายนาทีไม่หายสักทีก็เลยลุกขึ้นเดินสักพักอาการก็หายไป หลังจากนั้นพอผมลองกำหนดสมาธิจี้มาที่กายก็รู้สึกสัมกับการทำงานของชีพจรภายในแบบแผ่วๆ ก็ดูๆไปเรื่อยไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะคับ ตอนนี้กำลังฝึกจับความรู้สึกทั่วทั้งตัวไปเรื่อยๆคับอาจารย์
    ขอบพระคุณคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2016
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถูกต้อง ให้ไปอ่านใน Line ที่ผมทำโน้ทเอาไว้ เรื่อง "รู้ แจ้ง จ้า"

    +++ ตรงนี้ของเมิลให้สังเกตุให้ดี ก็จะพบได้ว่า ในขณะที่ "เดินจิตในสภาวะรู้ ณ ขณะที่เดินกิริยาจิต อาการแจ้ง (ตื่น) จะปรากฏทุกครั้ง"

    +++ เมื่อเดินจิต จนผลของการเดินจิตเกิดขึ้นนั้น สภาวะจ้าจะเกิด ในขณะที่ผลลัพธ์ ปรากฏ

    +++ สภาวะ "จ้า" ตรงนี้ "ไม่ใช่" เลื่อมประภัสสร แบบ จิตเปล่งรังสี แต่มันเป็นสภาวะสูงสุดของ สติบริสุทธิ์

    +++ อาการ "รู้ แจ้ง จ้า" นี้ผมให้ทำบ่อยมากในขณะที่ "ออกท่องเที่ยวกัน" ใน แฮงค์เอ้าท์ เข้ามาบ่อย ๆ ก็รู้เองแหละ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่เป็นไรครับ ผมและศิษย์บางราย ที่สามารถ "เกษียณ" แล้วจากภพภูมิต่าง ๆ มักจะพากัน "ท่องเที่ยว ทัศนะศึกษา" กันไปเรื่อย ๆ ตามแต่สถานการณ์และเนทจะอำนวย

    +++ มี guide ที่ "อาวุโสมาก ๆ หลายตน ที่ล่วงรู้ ต้นสายปลายเหตุ ของประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ได้ดี" เป็นผู้บรรยาย

    +++ หากมีเรื่องราวน่ารู้ที่อยู่ออกไปแบบ กว้างขวางมาก ๆ ก็พอที่จะสอบถาม "ชุมชนในคณะ" ได้ไม่ยาก เพราะมีจนนับเผ่าพันธ์กันไม่ถ้วน

    +++ เคยเห็น "คณะบุคคลที่เกษียณ" แล้วออกทัวร์กันเป็นว่าเล่นบ้างมั้ยล่ะ พวกผมก็ เฮฮาปาร์ตี้ กันแบบนั้นแหละ ไม่เสียตังค์และได้ความรู้พิสดาร ซะด้วยซี

    +++ คุณ จิตวิญญาณ จะเข้าร่วมทัวร์กับคณะนี้ก็ได้ เพราะว่าก็เกษียณแล้วเช่นกัน พวกเราใช้ แฮงค์เอ้าท์ เป็นจุดนัดพบ จะร่วมทัวร์กับพวกเราก็ได้ นะครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นแหละ ผมถึงให้ "เริ่มทุกอย่าง" จากกายนี้ เมื่อ "ชำนาญและได้นิสัยจากกายนี้แล้ว" กายอื่น ๆ ก็จะไม่มีปัญหา ที่จะต้องมาคอยตามแก้ไขกันอีกต่อไป "เหตุถูก ผลย่อมถูกมาเอง"

    +++ ตรงนี้เป็นผลมาจาก "ความตื่นเต้น" นั่นเอง เมื่อชำนาญในกายนี้แล้ว ก็จะรู้ได้เองว่า "กายนี้ไม่ได้ใช้ ลมหายใจ เป็นเครื่องอยู่" แต่จะใช้ "ความรู้สึก ตน เป็นเครื่องอยู่" เท่านั้น

    +++ พยายาม "ทำ" ให้ได้นิสัย แล้ว ผลลัพธ์อื่น ๆ อีกมากมายก็จะเริ่มรู้ได้เอง นี่แหละ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" แต่ในบริเวณนี้ ธรรมเฉพาะหน้า เพิ่งเริ่มต้นด้วย "กายอีกตัว" เท่านั้นเอง

    +++ หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นนับกันที่ "ก้าวแรก" นะครับ
     
  8. Totoro24

    Totoro24 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +25
    เพิ่งอ่านจบหน้า 1 ไป ขอเข้ามาศึกษา ฝากเนื้อฝากตัวอีกคนนะครับ ขอบพระคุณมากครับ _/|\_
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ได้เลยครับ ภาษาที่ใช้ในกระทู้นี้ มักจะเป็น "ภาษาวงใน" ที่พยายามใช้ให้ "ตรงกับอาการ" ของจิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลายครั้งก็ต้องใช้ "การอ้างอิง" กับ ภาษาบาลี ภาษาที่ครูบาอาจารย์ใช้อธิบาย บางครั้งก็ใช้คำศัพท์ของ นาซ่า หรือ ภาษาอังกฤษ รวม ๆ ไป เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาเข้าใจถึง "ลักษณะอาการ" ของแต่ละสภาวะที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น ๆ

    +++ การ "ถาม-ตอบ" ในกระทู้นี้ มักจะอยู่ในลักษณะของ "การตอบเฉพาะบุคคล" ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าใจหรือเห็นอาการได้ จะต้องเป็นบุคคล ที่เคยผ่าน หรือ ในขณะนั้น ๆ อยู่ใน Level นั้น ๆ แล้ว

    +++ ถ้านับกันในปัจจุบัณ ผู้ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ที่พอจะอ่านคำ ถาม-ตอบ แบบสลับบุคคลกันได้รู้เรื่อง ที่ปรากฏกันในขณะนี้ ก็คือคุณ

    1.Totoro24
    2. tidjerd

    +++ เพราะทั้งคู่อยู่ในระดับ "เริ่มถอดกายเวทนา" กันได้แล้ว และอยู่ในระยะที่ไกล้เคียงกันมาก หากสามารถ "เกาะกลุ่มกันฝึก" ได้จะดีอย่างยิ่ง และจะสามารถ แลกเปลี่ยนประสพการณ์ "ของจริง" ซึ่งกันและกัน รวมทั้ง สามารถ "สอบจิตซึ่งกันและกัน ในระดับเดียวกันได้"

    +++ เท่าที่ผ่านมาในหลาย ๆ ปีนี้ การเกาะกลุ่มฝึก จะให้ผลลัพธ์ที่ "รวดเร็วกว่า หลากหลายกว่า มั่นคงกว่า รวมทั้งสามารถ map ประสพการณ์ซึ่งกันและกันได้ กว้างขวางกว่า" การฝึกแบบ "ตัวใครตัวมัน" หลายเท่า รวมทั้ง ได้เปรียบกว่ามากมายนัก

    +++ ติดขัดในการฝึกตรงไหนก็ถามมาได้เลย นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2016
  10. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อืม ... ที่บอกไว้ว่าจะเล่าอะไรๆให้ฟังที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติ ไปๆมาๆก็ไม่รู้จะเล่าอะไร เพราะมันไม่มีอะไรจะเล่า ไหนๆก็เอ่ยบอกว่าจะเล่าแล้ว เอาเป็นว่าขอเล่าแบบสั้นๆนะคะท่าน

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่กับรู้ อยู่ๆก็มีสิ่งหนึ่งผ่านเข้ามาให้ถูกรู้ แล้วเสี้ยววินาทีขณะนั้น เห็นอาการรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ดับไปพร้อมกัน คงเหลือไว้แต่อาการหนึ่ง เป็นอาการที่ไม่มีอะไรเป็นอะไร ไม่มีการเกิดไม่มีการดับ

    แรกๆไม่เข้าใจว่าคืออะไร รู้แต่ว่าถ้าอยู่กับอาการนี้ เป็นอะไรที่อิสระ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นอะไร ไม่มีเงื่อนไขใดๆ เป็นอาการแบบสันติ

    มีช่วงหนึ่ง โจรบุกเดี่ยวเข้าบ้านตอนกลางวัน ขณะนั้นกำลังทำอาหารอยู่ห้องครัว ได้ยินเสียงน้องหมาเห่า 1 ครั้ง เห็นน้องหมาขนพอง เลยเดินออกมาดูตรงห้องโถง จ๊ะเอ๋กับโจรอยู่กลางห้องโถงพอดี เรามองตาโจรด้วยอาการนิ่ง โจรแกล้งทำหน้าเอ๋อเบลอๆ เราถามเขาว่าเข้ามาได้ไง ประตูรั้วปิดหมด ถามไป 3 ครั้งเขาก็จ้องตาเรากลับ จ้องแบบไม่กระพริบ แล้วตอบว่า เอาน้ำมาให้พี่ แขวนอยู่หน้าบ้านเลยเอาเข้ามาให้พี่ พูดเสร็จเขาก็ยื่นถุงหิ้วให้เรา เราไม่ได้คิดอะไร ยื่นมือหยิบถุงหิ้วเปิดดู เห็นขวดน้ำกับบุหรี่ ขณะนั้นมีเสียงพูดประโยคหนึ่งแว๊ปเข้ามาให้ได้ยินว่า” เล่นของ” เราเลยยื่นถุงกลับคืนให้เขา แล้วบอกเขาว่า เอากลับไปเถอะ แล้วออกไปต่ะ เดี๋ยวหมากัด เขายื่นมือมารับถุงหิ้วแล้วเดินถอยหลังจนถึงประตูหน้าบ้าน แล้วพูดว่า ขอเอารองเท้าก่อน พอหยิบรองเท้าใส่ แล้วเดินออกจากประตูหน้าบ้าน เราเลยกดเปิดประตูรั้วให้ พอเราเดินไปดูหน้าประตูรั้ว เห็นเขาวางน้ำแดงไว้ 1 ขวด ส่วนน้ำขวดที่เขาวางไว้โต๊ะบูชา เรามองไม่เห็น มาเห็นเอาตอน 1 ทุ่ม ก็แปลกใจมากเหมือนกัน เดินผ่านหลายรอบ ทำไมไม่สังเกตุเห็น

    หลังที่ปล่อยโจรออกจากบ้านแล้ว เห็นมันเปลี่ยนเสื้อผ้าขับรถมอเตอร์ไซน์กลับมาเวียนวนอยู่หน้าบ้าน 3 รอบ เราเลยจำเป็นต้องบอกกล่าวผู้ใหญ่บ้าน บอกกล่าวญาติพี่น้องเขา และเล่าให้ตำรวจรับทราบ แต่ไม่ได้แจ้งความ และก็ไม่ติดใจอะไรเลย

    ส่วนที่เห็นเขาแกล้งทำหน้าเอ๋อๆเบลอๆ เราลองถามชาวบ้านระแวกนั้น หลายคนตอบเหมือนกันว่ามันเป็นคนปกติ แต่ชอบขโมยของชาวบ้าน เราก็นึกในใจนะว่า “ เออ ต่อหน้าเรามันแกล้งบ้า เดี๋ยวมันจะเป็นบ้าจริงๆ” หลังจากนั้นไม่ถึง 2 อาทิตย์ ได้ข่าวว่าญาติพาเข้า รพ.ศรีธัญญา สุราษฯ เพราะพูดคนเดียวไม่หยุด ทุกวันนี้ยังรักษาไม่หายขาด


    +++ คุณ จิตวิญญาณ จะเข้าร่วมทัวร์กับคณะนี้ก็ได้ เพราะว่าก็เกษียณแล้วเช่นกัน พวกเราใช้ แฮงค์เอ้าท์ เป็นจุดนัดพบ จะร่วมทัวร์กับพวกเราก็ได้ นะครับ

    ปล. เดี๋ยวพร้อมเมื่อไหร่ จะร่วมทัวร์ด้วยค่ะ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนั้นแหละ คืออาการที่ "ตัวดูดับไป" ตอนนั้นจะเกิดอาการ จิตกระตุ๊กวูปดับ แล้ว "ทั้งจิตและความเป็นตน จะสาปสูญหายไป" เหลือไว้แต่ "อาการรู้" อาการเดียว ตรงนี้แหละ "สภาวะรู้"

    +++ ถูกต้องแล้ว "สภาวะรู้" เป็นเนื้อแท้ของตัวสภาวะเอง เป็นสติบริสุทธิ์ เป็นสภาวะธรรมที่มีมาก่อนแล้ว พระพุทธองค์ทรงค้นพบภายหลัง แล้วนำวิธีที่ท่านค้นพบนี้มา "เผยแพร่" คำว่า ศาสนาพุทธ จึงเกิดขึ้น

    +++ "สภาวะรู้" นี้ไม่สามารถ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมทั้ง ทุกข์ ก็ตั้งอยู่ในนี้ไม่ได้" สภาวะนี้เป็น "เอกภาพ ภราดรภาพ" กับทุกสภาวะ รวมทั้ง "มีอยู่กับทุกสภาวะ" ด้วย และตรงนี้คือ "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แต่ภาษาของผมจะใช้คำว่า "เป็นรู้" เพราะ "ไม่ได้เป็นจิต"

    +++ และในขณะที่ "เป็นรู้" นี้ ทุกอย่างที่ "มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง" ก็อยู่ร่วมกันได้ โดยเฉพาะ "สภาวะรู้" นี้ มีอยู่กับทุกสภาวะ ข้างในทุกสภาวะ รวมทั้ง ข้างในจิตทุกดวง อีกด้วย ดังนั้น "การท่องเที่ยวแบบ คณะทัวร์" คณะนี้ รับประกันว่า "ไม่เหมือนใคร และ ไม่มีใครเหมือน" แน่นอน

    +++ เสียงพูดประโยคที่แว๊ปเข้ามาว่า ”เล่นของ” นั้น เป็นเสียงผู้ชาย และ ไม่ใช่เสียงของโจรด้วย ใช่หรือเปล่า

    +++ ตรงท่อนนี้ ให้ค่อย ๆ หาสาเหตุว่า "ทำไมมันเป็นไปตามที่เรานึก" หลักใหญ่ ๆ มีแค่ 2 ประการเท่านั้น คือ

    +++ 1. การนึกของเรา อยู่ในส่วนของ "รู้ล่วงหน้า" แบบ วาระจิตเดียว หรือ

    +++ 2. นึกของเรา เป็นเรื่องของ "อฐิษฐานฤทธิ์" แบบ วาระจิตเดียว

    +++ ทั้งหมดเป็นอาการคล้าย "เผลอนึก แว็ป เดียว" เท่านั้น มันก็เป็นไปแล้ว

    +++ ตรงนี้หาก "เข้าใจตรงเหตุ" ได้ จะทำให้จิตของเรา ละเอียดลงไปกว่าเดิม ได้อีกหลายพันเท่าทีเดียว

    +++ การ "ซื้อทัวร์" กับคณะนี้ คือ "ต้องฝึก" แยก ตัวดู หรือ อัตตาจิต ให้ "ออกไปพ้นทางของ สภาวะรู้" (วิมุติญาณทัศนะ) อย่างหมดจด หมดเปลือก ให้ได้เสียก่อน จึงสามารถทัวร์ด้วยกันได้

    +++ ทัวร์ กับกรุ๊ปผมนี้ ไม่ใช่การทัวร์ในภพภูมินะ หลัก ๆ จะเป็นทัวร์ "นอกเอกภพ ทัวร์อารยะธรรมต่าง ๆ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนทั้งสิ้น"

    +++ โปรแกรมทัวร์ "ที่สำคัญมาก" โปรแกรมหนึ่งคือ ทุกคนรู้แล้วว่า จิตนั้นมีการ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย มาแบบนับชาติไม่ถ้วน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "มีใครเคยเห็น จิตแรกก่อเกิด ที่เรียกว่า ชาติแรก กันบ้างหรือยัง" จิตแรกเกิด มาจากไหน กำเนิดได้อย่างไร อะไรเป็นอะไร ก่อนที่มันจะ วิวัฒนาการมาอยู่ใน ภพภูมิต่าง ๆ แล้ว จิตที่อยู่นอกภพภูมิ มีหรือไม่ ต่าง ๆ เป็นต้น

    +++ นี่เป็นเพียงโปรแกรมหนึ่ง ในอีกหลายสิบโปรแกรม เรื่องเด็ด ๆ ยังมีอีกมาก ตอนนี้พูดให้น้ำลายไหลซะก่อน โปรแกรมทัวร์เหล่านี้ "ใช้เงินซื้อไม่ได้" ต่อให้จ่าย หัวละ 10 ล้าน หรือ จ่ายที่เดียว 10 หัวล้านเจ้งเหม่ง ก็ซื้อไม่ได้

    +++ คุณสมบัติของคณะทัวร์นี้ ไม่เหมาะกับพวก "จริตเฝ้าวัด หรือ เฝ้าห้อง" พวกที่ชอบบอกว่า "เห็นแค่ผนังห้อง 4 ด้านก็พอแล้ว" พวกนี้ "ทัวร์ไม่รับ" นะ ปล่อยให้ สิงอยู่ในห้อง ต่อไป

    +++ เราอยู่ในโลกนี้อย่างไร เราออกท่องเที่ยวอย่างไร เราพบปะผู้คนอย่างไร เรามีสังคมแบบไหน ทั้ง ๆ ที่เราเอง "เป็น" สภาวะรู้อยู่เช่นนี้ การออกทัวร์ก็เช่นกัน คือ "เราก็ยังเป็นเราอยู่ดี" นั่นเอง

    +++ จะ booking tour ก็ทำเสียแต่เนิ่น ๆ ในขณะที่ยัง มีกายใช้กายอยู่ หากไม่มีกายให้ใช้แล้ว ถึงแม้ออกทัวร์ได้ก็มองไม่เห็น นะครับ
     
  12. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    หุหุ เข้ามาอธิบายสภาวะที่เคยถามอาจารย์ว่าที่ครูอาจารย์ หลวงปู่หลวงพ่อท่านใดจำไม่ได้ เคยบอกว่าเมื่อสติบริสุทธิ์ จิตหลุดขาดกระเด็นโลกมันราบเป็นหน้ากลองไปหมด มันไม่มีอะไรเลย อิอิ เข้าใจแล้วค่ะ มันเป็นรู้ มันว่างสติบริสุทธิ์ที่สำคัญมันขยายวงออกไปไกลมากๆ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือ "ความสุข" ที่เกิดจาก จิตหลุดขาดกระเด็น ตรงนี้เป็น "ความสุขที่ไม่มีในทั้ง 3 โลก"

    +++ ความสุขนี้นอกจากจะ "โล่งเบา" เพราะมาจากการ "พ้นภาระ" แล้ว ยังมี "ความแจ่มใส เพราะไร้สิ่งบดบัง" นอกจากนั้นยังได้ความ "หรรษา" จากการที่ได้เห็น "กิเลสมันเล่นละครตลอดเวลา"

    +++ ความสุขทั้ง 3 ประการนี้ ประกอบกันเป็นเพียง "สภาวะเดียวเท่านั้น" และระยะที่ยังอยู่ในสภาวะนี้ เรียกว่า "ระยะของการ เสวยวิมุติสุข" ของพระพุทธองค์ ได้อยู่ในระยะนี้ถึง 49 วัน/คืน

    +++ ที่เขียนว่า วัน/คืน นั้น เพราะ "อาการหลับ อาการหลง อาการมึนซึม อาการไม่รู้" ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่สามารถจะเข้ามาแทรกได้เลย ดังนั้น ของพระพุทธองค์จึงเป็น ตลอด 24 ชม. ทั้ง 49 วัน

    +++ ผู้ที่เคยฝึก "ที่คอนโด" ในรอบของปี 2558 (ปีที่แล้ว) แม้ว่าจะไม่ได้มาก ไม่ถึงวัน แต่ในระดับ 18 - 12 - 6 ชม. ก็สามารถรู้สภาวะนี่ได้ ชัดเจน

    +++ ส่วนอาการ "โลกมันราบเป็นหน้ากลองไปหมด มันไม่มีอะไรเลย" ตรงนี้ คืออาการของ "Shock Wave จากการที่ ตัวดู (อัตตาจิต) ระเบิดแบบสิ้นซาก"

    +++ ผู้ที่เคย "ฝึกระเบิดตัวดูมาแล้ว" ให้ทำ "มหาปัฏฐานสูตร" ดังนี้

    +++ 1. เป็นรู้ จากนั้น

    +++ 2. เข้าไป "ข้างใน" ตัวดู

    +++ 3. ปักมหาปัฏฐาน ใน "ใจกลางของตัวดู" จนกลายเป็น "อธิปัตติปัจจัยโย" (สภาวะรู้ เป็นใหญ่ เป็น อธิปัตย์ ในใจกลางตัวดู)

    +++ 4. ระเบิดตัวดูแบบ "เปรี้ยงเดียวสิ้นซาก" ตรงนี้จะเกิด "คลื่น Shock Wave ชนิดหนึ่ง" แผ่กระแทกออก "โดยรอบ" ชำแรกผ่านไปใน "ทุกมิติชั้นภูมิ (หากทำในโลก)"

    +++ 5. ตรงบริเวณที่ "วงคลื่น กำลัง กระทบ-กระแทก" (Shock Wave Wall) ตรงนั้นแหละ ที่ "กำแพงคลื่น" มันเข้าโถมทับจนเป็นหน้ากลองไปหมด

    +++ ให้ลอง "เล่น" ตรงนี้ดูสักหลาย ๆ ครั้งก็ได้ แล้ว "แกะอาการไปทีละขณะจิต (เดินจิตตาม)" แล้วจะชัดเจนเองว่า หลวงปู่หลวงพ่อครูอาจารย์ ท่านนั้น กล่าว อาการ สลับกับไปบ้างนิดหน่อย แต่ให้ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตรงนี้ คำพูดมันไปไม่ถึง

    +++ ให้ "แกะอาการ" ไปตามคำพูด ดังนี้

    +++ 1. "เมื่อสติบริสุทธิ์" ตรงนี้ ความจริง "เกิดหลังจากการระเบิด ตัวดู"

    +++ 2. "จิตหลุดขาดกระเด็น" ตรงนี้ เป็นอาการที่ "ตัวดู กระเด็น แล้วหลุดออกจาก สภาวะรู้" การ "รู้เห็นและเป็น" ตรงนี้เรียกว่า วิมุติญาณทัศนะ คือ "ความเป็นตน กระเด็นหลุดออกไป"

    +++ 3. "โลกมันราบเป็นหน้ากลองไปหมด" ตรงนี้เกิดจาก "ตัวดู ระเบิด"

    +++ สรุปได้ว่า ของหลวงปู่หลวงพ่อครูอาจารย์ ท่านนั้น "ตัวดู ระเบิด ทางข้างหน้า" ในระยะประมาณ 1 คืบ หรือ ไม่เกิน 1 ศอก ก็ได้

    +++ แต่ที่ระบุว่า ให้ทำแบบ "มหาปัฏฐานสูตร" นั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน ณ ขณะที่ Shock Wave Wall (กำแพงคลื่น) กำลังโถมเข้า อัดกระแทกสรรพสิ่ง จนราบเป็นหน้ากลอง เท่านั้นเอง

    +++ เมื่อพูดถึงคลื่น Shock Wave ตรงนี้แล้ว ก็อยากให้ "ขึ้นไปทัวร์" พิสูจน์คำพูดในพระไตรปิฏกที่ว่า "สัตว์ใน โลกันต์มหานรก" จะได้รับแสงสว่างแบบ "ชั่วประดุจฟ้าแลป" ในตอนที่ พระพุทธเจ้า "ตรัสรู้" ตรงนั้น ผมมั่นใจว่ามันคือ คลื่น Shock Wave ตรงนี้แน่นอน เพราะนอกจากตรงนี้แล้ว จะไม่มีอานุภาพใดที่สามารถชำแรกไปได้ทุกมิติแบบนี้

    +++ ทัวร์โปรแกรมหน้า เตรียมจัดไว้ได้เลยนะ ให้เรียกมันว่า "กลิ้งงับงับ ทัวร์" ไปที่ ขอบ ๆ ของ 3 กาแลคซี่ที่ทำมุมกันจนเกิด "พลังงานขุมของ กลิ้งงับงับ" แล้วพวกเราคณะทัวร์ จะไปพิสูจน์ในเรื่องนี้กัน เตรียมตัวกันไว้นะ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ใช่จริง ๆ มันเกิดจากการระเบิดของ "ตัวดู หรือ อัตตาจิต" นั่นเอง ที่ทำให้เกิด Shock Wave Wall (กำแพงคลื่น) ฝ่าอวกาศออกไป และ สามารถผ่าน "ขุม" ของกลิ้งงับงับ "สัตว์ใน โลกันต์มหานรก" ได้ แต่สัตว์ที่อยู่ในหลุม (ตัวกลิ้งงับงับ) จะเห็นเป็นเพียง คลื่น Shock Wave ที่เคลื่อนวาปผ่านไป "ประดุจสายฟ้าแลป" เท่านั้นเอง

    +++ ประสพการณ์ ที่มาจากการเดินจิตในสถานการณ์จริงเท่านั้น ที่จะทำให้สามารถ "รู้และเข้าใจ" ได้ว่าที่ในพระไตรปิฏกกล่าวไว้นั้น มีสภาพการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ และที่สำคัญที่สุดคือ "รู้ ย่อมดีกว่า ไม่รู้" นั่นเอง นะครับ
     
  15. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อ่านทัวร์ กลิ้งงับงับ แล้วน้ำลายไหล ดีที่มีเขื่อนฟันกั้นไว้ ไม่งั้นล่ะ ฮึ่ม ว่าแต่แอป แฮงค์เอ้าท์ ใช้กับโน้ตบุคได้หรือเปล่าเดี๋ยวจะลองทำดู ครั้งที่แล้วไลน์ทำให้ตาแห้งไปรอบหนึ่งแล้ว แพ้แสง สาเหตุจ้องหน้าจอมือถือใกล้เกินเป็นเวลานาน เวลาขับรถ ต้องลืมตาข้างเดียวขับ คล้ายกับสลัดตาเดียวเลย จะหลับตาสองข้างขับก็ไม่ได้ เพราะไม่มียาน จะลืมตาสองข้างขับก็ไม่ได้ เพราะเห็นถนนเลนซ้ายเลนขวาทับซ้อนกัน ขำตัวเอง ตลก มันเป็นถึงขนาดนั้นเลยนะนั่น เลยพามันเลิกเล่น

    ปล. พูดถึงเฉพาะตัวดู ตอนที่ตัวดูมันระเบิด มันเป็นอะไรที่ " วาป ละลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเป็นอะไร" เพิ่งเข้าใจว่าเป็นอาการเดียวกันกับ "โลกมันราบเป็นหน้ากลองไปหมด มันไม่มีอะไรเลย"

    ท่านอธิบายได้ละเอียดจริงๆ:cool:
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    กลิ้งงับงับทัวร์

    +++ กลิ้งงับงับทัวร์ นั้น พวกเราไปกันเอง แม้แต่ "ผู้อาวุโส" หลาย ๆ ท่าน พวกเราก็ไม่ได้ชวนไป เพราะเป็นทัวร์ที่ "อันตราย สำหรับผู้ที่ยังครอง ตัวดู อยู่"

    +++ แม้ว่า "ผู้อาวุโส" หลายท่านสามารถ "ฝึก" สลายกายจิต จนม้างตัวดู แผ่ออกจนกลายเป็นแค่ "สภาวะ โล่ง ว่าง รู้" ได้แล้วก็ตาม แต่ปัญหาของท่านเหล่านั้นอยู่ที่ ยังไม่สามารถ "ตรึง แช่ อยู่" ในสภาวะนั้น ๆ ได้อย่างมีเสถียรภาพ หากมีอะไรเกิดขึ้น มันจะทำให้ "ตัวดู" กลับมารวมสภาพใหม่ และ ณ ขณะจิตนั้น อันตรายย่อมเกิดขึ้นได้ในทุกขณะจิต

    +++ เฉพาะทัวร์นี้ ผู้ที่ไปได้คือผู้ที่ "กำจัด ตัวดู ได้แล้วเท่านั้น" และจะต้องเหลือแต่ "สภาวะรู้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ" ไม่งั้นเพียงแค่ย่างกรายเข้าไปใกล้ ๆ ขอบเขตนี้ จะถูกสนามกดดัน จนตัวดูต้องปรากฏขึ้นมา สรุปคือ "ชั้นอรูป" ยังเกิดอันตรายได้ ในสนามของ "ขุม" นี้ สิ่งที่ยังเป็น "ฌาน" อยู่ ตัว "เนื้อฌาน" จะโดนแปรสภาพได้ ตรงนี้ "ไม่ใช่นรกในภพภูมิ แต่มันเป็น นรกในจิตจักรวาล" ดังนั้นจะนำเอาเรื่อง "ฌาน" ที่ยังเป็นภพภูมิอยู่ เอามาปนกับสภาวะนี้ไม่ได้

    +++ กาแลคซี่ (โลกธาตุ) ตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป "ทำมุมซึ่งกันและกัน ณ บริเวณ (ขุม) ที่แสงจากโลกธาตุ ส่องไม่ถึง" ตรงนั้นหละ ตัวดีนัก

    +++ หากจะถามว่า "ขุม" เหล่านี้มีแยะมั้ย ก็ให้ลองหาในกูเกิ้ลคำว่า Laniakea Supercluster ดูแล้วจะเข้าใจได้เองว่า สามารถ Shopping ได้ทั่วไป

    +++ คงรู้จักอาการของคำว่า "เหล็กลอยในปรอท" อยู่นะ ความหนาแน่นของปรอท ดูแล้วใส ๆ ไม่มีอะไรเลยจริงม่ะ แต่ความหนักของเหล็ก ยังถือได้ว่า กระจอก สำหรับปรอท คงพอเข้าใจได้

    +++ ความหนาแน่นบีบอัดของ เนื้อธาตุในขุมนั้น สุดบรรยาย ปรอทไม่มีความหมาย ความเย็นของขุม ไนโตรเจนเหลวไม่มีความหมาย

    +++ "ตัวดู (สัตว์-จิต)" ข้างในขุมนั้น เคลื่อนไหวตลอดเวลา หากมองไกลออกมาหน่อย จะคล้าย "กระจุกตัวไรน้ำ" วิ่งเคลื่อนที่ "มั่ว" ไร้ทิศทางตลอดเวลา (ดูคล้าย "กลิ้ง")

    +++ ในยามที่มันสัมผัสอะไรก็ตาม มันจะ "กัดกิน (งับ)" ทันที โดยไม่สนว่าอะไรเป็นอะไร งับที่ไหน "ขาดกระจุย" ที่นั้น พวกเราเลยเรียกมันว่า "กลิ้งงับงับ" ตามอาการของมันนั่นแหละ

    +++ ใหญ่-เล็ก มีทุกขนาด รูปร่าง มีทุกประเภท ใหญ่งับเล็ก เล็กงับใหญ่ งับกันไปมา ตัวไหนตายแล้วจะเกิดทันทีในขณะที่ตาย (ดับ-เกิด ทันที)

    +++ เป็นสภาวะรู้ในใจกลางขุม เหมือนกับทุกทิศทุกทาง "บน ล่าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง" เป็นหน้าผาสูงชันทึบแน่นขนัดทุกทิศ รอบด้านรอบทิศ ทุกอย่างโดนดูดเข้าสู่ศูนย์กลางทั้งหมด

    +++ ขุมนี้ "ไม่ใช่หลุมดำ" ไว้ถ้ามีโอกาสจึงจะพาคุณ จิตวิญญาณ ไป "ทัศนะศึกษา" ด้วยตนเองจะดีกว่า อธิบายไปก็เท่านั้น สู้ไป "ทัศนะศึกษา" ด้วยตนเองไม่ได้

    +++ ให้ติดตั้ง Chrome ก่อน แล้วกดตรง app ก็จะเจอ hang out ข้างใน แล้วใช้ ไมค์กับลำโพง หรือหูฟังก็ได้

    +++ สำหรับผู้ที่ "ยังเป็นตัวดู" ก็ยังต้องฝึกในช่วงแถว ๆ สี่ทุ่ม และถ้าไม่มีอะไรสำคัญผมจะให้ จบก่อนเที่ยงคืน สำหรับผู้ที่ "ทำลายตัวดูทิ้งได้แล้ว" มักจะออกทัวร์หลังจากที่ฝึกนักเรียนแล้ว

    +++ คุณ จิตวิญญาณ สะดวกเวลาไหนก็ค่อย ๆ สแกนหาตารางเวลากันอีกทีก็แล้วกัน

    +++ "ตัวดู" ระเบิดได้ ก็ถือว่า เกษียนได้แล้วจากภพภูมิ แต่ว่า ผู้ที่เกษียนมักจะมีอยู่แค่ 2 จริตคือ

    +++ 1. จริตเฝ้าบ้าน ไม่อือไม่หือไม่ไปไหน กับ

    +++ 2. จริตท่องเที่ยว "ทัศนะศึกษา" ไปเรื่อย ๆ

    +++ พวกเราเป็นพวก "จริตทัศนะศึกษา" ดังนั้น ทัวร์ลูกเดียว ไม่ได้ไปเดือดร้อนบนหัวใคร

    +++ แต่หลังจาก "กลิ้งงับงับทัวร์" ทำให้พวกเราเข้าใจใน "จริต" บางประการที่ "งับไปทั่ว งับมั่วไปหมด" มันช่าง สัมประยุตตาธรรมมา กับพวก กลิ้งงับงับ เสียจริง ๆ

    +++ หลังจากติดตั้ง Chrome แล้วให่ส่ง Gmail มาทาง PM ด้วยนะครับ
     
  17. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    คุณธรรมชาติ ค่ะ เพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้ และพบว่ามีประโยชน์มากเลย....

    มีคำถามที่สงสัยดังนี้ค่ะ
    ก่อนหน้าที่จะมานั่งสมาธิ..เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือมีความทุกข์จากความคิด เลยลองหยุดคิด(ไม่มีอะไรในสมอง ว่างเปล่า) จาก 1 วินาที (รู้สึกว่าทำไมสุขขึ้น) ก็ทำได้นานขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลายๆนาที ทำจนชินค่ะ เวลาเดินไปทำงาน ไปทานเข้า ล้างจาน บ่อยแค่ไหนไม่รู้ตัว จนวันหนึ่งจะเดินเข้าตึกที่ทำงาน รู้สึกว่าเหมือนตัวเบา เหมือนลอยไป เหมือนทุกสิ่งรอบข้างไม่มี มีแต่เรา (ทั้งๆที่เวลาพักเที่ยง คนเยอะแยะ)

    จนได้มานั่งสมาธิ ต้นปีนี้...นั่งแล้วสงบนิ่งเหมือนเข้าไปอยู่ข้างใน สำรวจรอบๆ ก็ไม่หลุดจากสมาธิ ความรู้สึกตอนนั้นว่าตัวไม่มี ลมหายใจไม่มี หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิตลอดมา

    เวลาทำสมาธิ ไม่มีคำบริกรรมใดๆ แค่นึกว่ากายไม่มี ว่างเปล่าๆ พอความมืดที่เห็นชัดเจนขึ้น ก็รู้ว่าเข้าสมาธิได้แล้ว...

    แบบนี้ถูกหลักหรือเปล่าค่ะ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ยินดีด้วยอย่างยิ่ง ตรงนี้แหละ ที่คุณรู้จัก อาการที่หลวงปู่ดูลย์ เคยพูดไว้ว่า "คนเรามันทุกข์เพราะคิด" สำหรับคุณ ถือว่า "ผ่านและเข้าใจ" ตรงนี้มาด้วยตัวคุณเองทีเดียว จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่เพียงเรื่อง "ธรรมชาติทางจิต" เท่านั้นเอง

    +++ บางคนฝึกสมาธิจน เก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ มาเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่มีความสามารถในการ "หยุดคิด" ได้เลย แต่คุณสามารถ "ทำได้เองตามธรรมชาติ"

    +++ อย่างที่หลวงปู่ดูลย์เคยบอกไว้ว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิด" ตรงนี้ท่านพูดตรง ๆ ตามอาการของ "ธรรมชาติทางจิต" นั่นเอง ไม่ได้พูดให้คิดสักนิดเดียว

    +++ ให้สังเกตุประการหนึ่งให้ดี ๆ ว่า "เวลามันจะรู้ จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ในเวลานั้น มันไม่ได้คิด มันจึงรู้และเข้าใจ" ใช่หรือไม่ เอาที่ ณ ขณะจิตที่ "วูปเข้าใจ" ตรงนั้นแหละ

    +++ ตรงนี้เรียกว่า "ลหุกาย ลหุจิต" ทางสายพระป่าเรียกอาการนี้ว่า "กายเบา จิตเบา" นั่นเอง

    +++ ตรงนี้ "เหมือนทุกสิ่งรอบข้างไม่มี มีแต่เรา" เป็นการใช้ภาษาที่ "ขาดความสมบูรณ์ไปนิดหน่อย"

    +++ ภาษาที่สมบูรณ์ที่สุดตรงนี้ คือ "เหมือนทุกสิ่งรอบข้างไม่มี อิทธิพล มีแต่เราเป็นอยู่ในสภาวะเดียว เท่านั้น" ให้ลอง map ภาษาของผมเข้ากับ อาการของคุณดู ว่า "เป๊ะ" มั้ย

    +++ ตรงนี้มีคำกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกที่ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า "พึงเที่ยวไปผู้เดียว ประดุจนอแรด" ตรงนี้ คือ อาการของคุณในวรรคนี้

    +++ คำว่า "ปัจจุบัณขณะ" นั้น ตามลักษณะของนักปฏิบัติแล้ว จะนับปัจจุบัณกันที่ "ณ ขณะจิตนั้น ๆ" เท่านั้นว่า "มีสติ รู้ความเป็นตน ณ เวลานั้น ได้คมกริบชัดเจน แค่ไหน" รวมทั้ง "ความเป็นตน ณ ขณะนั้น ๆ เป็น สภาวะลักษณะใด"

    +++ "มีตัวหรือไม่มีตัว" ก็อยู่ได้ใน สภาพนั้น ๆ "สติตั้งอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่ตัวไม่มี" ตรงนี้คือ "สภาวะของ อรูป เต็มตัว ในสภาวะปกติ" ผมเรียกมันว่า "สติครองอรูปฌาน" อาการนี้คือ "อรูปสมาบัติ ในศาสนาพุทธ เท่านั้น" อรูปในศาสนาอื่น จะไม่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ (สติครองฌาน)

    +++ คำว่า "แค่นึกว่ากายไม่มี" ตรงนี้ เป็นการใช้ภาษาที่ไม่สมบูรณ์ ความจริงคือ "กำหนดรู้ แล้ว อยู่กับรู้" ไปแบบตรง ๆ ทาง ผลลัพธ์คือ "อยู่กับรู้ ไม่ได้อยู่กับกาย" นั่นแล ลองทวนตรงนี้ดู

    +++ "ถูกยิ่งกว่าถูกใด ๆ" แม้ว่า "ไม่มีกาย ก็ ตั้งสติได้" ตรงนี้เป็นสภาวะของกลุ่มที่มาใช้ "เอกพีชี" ก่อนเดินทางไกลแบบไม่หวลกลับมาอีกต่อไป

    +++ อาการ "ไม่มีตัว ไม่มีกาย ก็อยู่ได้" สามารถตั้งสติได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกายอีกต่อไป ดังนั้นอาการนี้คือการ "วาง" สักกายะทิฐิ ลงได้แล้ว

    +++ อาการ "ลังเลสงสัย" ตรงนี้ ไม่ได้เกิดจาก "การปฏิบัติของคุณ" เป็นแต่แค่เพียงสงสัยว่า "ทำไมมันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน" เท่านั้นเอง

    +++ ต่อให้ คำตอบอุตหลุด ออกมายังไงก็ตาม "คุณก็รู้ชัดเจนอยู่แล้วว่า การปฏิบัติของคุณ ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง" อยู่ดี

    +++ ตรงนี้กล่าวได้ว่า "คุณสิ้นสงสัยในตัวคุณเองอย่างแน่นอน" ในทุกสภาพการณ์ของ "ขี้ปากชาวบ้าน" ตรงนี้คือการวาง "วิจิกิจฉา" ลงได้แล้ว

    +++ และที่สำคัญที่สุด คุณเองก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า "หนทางในการปฏิบัติธรรมของคุณ ได้ลิขิตมาแล้ว"

    +++ ไม่เบี่ยงเบนไปใน "รูปแบบ" ใด ๆ อีก มุ่งลัดตัดตรงเข้าสู่แต่เฉพาะ "เนื้อหา" ของการปฏิบัติ เท่านั้นเอง

    +++ อีกประการหนึ่งที่ "เด่นชัด" ของคุณ คือ อาการที่ "มีแต่เรา" ตรงนี้ คืออาการที่ "ตัดหรือพ้น จาก โลกภายนอก" โดยสมบูรณ์แล้ว ("พึงเที่ยวไปผู้เดียว ประดุจนอแรด")


    +++ ตรงนี้ผมจะแจงให้ชัดเจน คือ "โลกภายนอก" เป็นสภาวะที่ ทุกคนเสพธรรมารมณ์ด้วย "ตา หู จมูก ลิ้น กาย" กัน อันเป็นเรื่องของ "กามคุณ 5"

    +++ แต่การ "ไปผู้เดียว ประดุจนอแรด" ของคุณตรงนี้ แม้ว่าสภาวะแวดล้อมเป็นเรื่องของ "กามาวจร" แต่ "จิตของคุณ ไม่มีการส่งออกไปหามัน"

    +++ ตรงนี้คือการ "ตัดขาด หรือ ต่อไม่ติด หรือ พ้นออกมาจาก" กามาวจร หรือ "กามคุณ 5" เรียบร้อยแล้ว นั่นเอง

    +++ มรรควิถีของคุณในตอนนี้ เป็น "อพรหมะจริยา" โดยสมบูรณ์แล้ว และย่อมเป็นผู้ที่ "ไม่กลับมายัง กามาวจรอีก" อย่างมั่นคง

    +++ ให้ลองอ่าน "ข้อที่ 5 ในโพสท์ที่ 5 ของหน้าแรก ในกระทู้นี้" ดูว่า อาการที่ผมกล่าวไว้ใน "สติระดับ 5" นั้น ตรงกับอาการของคุณหรือไม่


    +++ กลุ่มนักเรียนที่ผมกำลัง ฝึก ให้ในชุดปัจจุบัน ยังไม่ถึงเดือนดีในตอนนี้ เพิ่งเริ่มก้าวเข้ามาสู่ "วงจรการปฏิบัติ" ที่คุณกำลัง "เป็น" อยู่ในขณะนี้พอดี

    +++ หากคุณ สามารถเข้ามาช่วย "เล่า" ถึงหนทางในการปฏิบัติของคุณ ในชาตินี้ จนมาถึง จุดนี้ได้ ก็จะเป็น "ประโยชน์อย่างมหาศาล" ต่อผู้ที่กำลังฝึกฝนอยู่ในขณะนี้

    +++ แต่ผมอยากจะฝากไว้ว่า "ประสพการณ์ ของการปฏิบัติ ในวงจรนี้" ไม่เข้ากันกับ การเปิดเผยในกระทู้สาธารณะ เพราะคนทั่วไปจะมองว่าเป็น "การอวดอ้าง" มากกว่า

    +++ แทนที่จะเกิดผลดี แต่ จะกลับกลายไปเป็นผลเสีย และจะทำให้ "ห้องปฏิบัติ กลายมาเป็น ห้องวิพากษ์วิจารณ์" จนกลายไปเป็น "ห้องสำส่อน" เละเทะไปหมด

    +++ พวกผมจะใช้ Hangout ในการ "ฝึกปฏิบัติธรรม" ในระดับที่ ไม่เหมาะกับสาธารณะ ขึ้นไป

    +++ หากคุณมี gmail และ Chrome อยู่แล้ว ก็ขอให้ PM gmail มาถึงผมเพื่อทำการ add เข้ามาเพื่อ "เล่าประสพการณ์" ของคุณได้อย่างสะดวก

    +++ ประโยชน์ต่อ นักเรียนที่กำลังฝึก จะปรากฏอย่างชัดเจน เพราะ "กระบวนการฝึกของคุณ เป็นไปตาม วิถีทางธรรมชาติทางจิต" ที่มีมาเอง เป็นมาเอง ในตัวคุณเอง

    +++ เพื่อประโยชน์ และ ความเข้าใจในกระบวนการ "ฝึกจิต ตามสภาวะธรรมชาติ" หากคุณสามารถเข้ามาช่วยเล่า ประสพการณ์ของคุณได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อกลุ่มฝึก

    +++ กลุ่มนักเรียนจะได้สามารถ สอบถามและ "ทดลองเดินจิต" ตามสภาวะของคุณ (map จิต โอปะนะยิโก) เพื่อความเข้าใจที่ "กว้างกว่าเดิม" ได้

    +++ ตรงนี้จะเป็น "ประโยชน์อย่างยิ่ง" ต่อการฝึกปฏิบัติในแนวทางของ "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" อันเป็น "แก่น" การปฏิบัติในศาสนาพุทธ

    +++ ก็ให้ช่วย ลองพิจารณาดูด้วย นะครับ
     
  19. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    ก่อนอื่นขอขอบคุณ คุณธรรมชาติที่ช่วยไขข้อข้อใจครั้งนี้ค่ะ

    +++ ให้สังเกตุประการหนึ่งให้ดี ๆ ว่า "เวลามันจะรู้ จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ในเวลานั้น มันไม่ได้คิด มันจึงรู้และเข้าใจ" ใช่หรือไม่ เอาที่ ณ ขณะจิตที่ "วูปเข้าใจ" ตรงนั้นแหละ

    === ตอนแรกมันยากที่จะแยก ว่าสิ่งไหนรู้สิ่งไหนคิดค่ะ เพิ่งมาแยกแยะได้ตอนหลัง ว่าถ้าเวลาที่รู้ ทุกอย่างที่สงสัยจะดับไป ไม่เหมือนคิด =====

    === เป๊ะค่ะ อาการที่เป็น คือมัน - วิ้ง ง ง --- เหมือนที่เค้าวาดการ์ตูน รอบข้างเบลอๆ เด่นชัดที่ตัวเรา ตอนนั้นถ้าปล่อยจิตไป ก็อาจจะล้มไปได้ เลยดึงกลับมา แล้วเดินต่อไป (ตอนนั้นก็แค่รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร =====

    === คือเหมือนใช้ความไม่มีอัตตาเป็นตัวกำหนด การเข้าสมาธิ คนอื่นจะมีคำบริกรรม ====

    === คำตอบนี้โดนใจมากเลยค่ะ คนอื่นมีขั้นตอน พอเป็นแบบนี้แล้วจะได้อย่างไรต่อ แต่สำหรับของเรา ไปถึงจุดไหนกันแน่นะ หรือเพียงแค่ขั้นอนุบาลเต๊าะแตะ พยายามหาอ่าน / ศึกษาจากเว็บก็ไม่ได้คำตอบ เคยโพสต์ไป ก็ไม่มีใครตอบหรือเข้าใจในสิ่งที่สงสัย คาใจได้ ตอนแรกก็ลองทำคำบริกรรม พุธโธ ตามคนอื่นเค้าดู แต่รู้สึกว่าเข้าสมาธิได้ช้ากว่า และไม่สามารถขจัดความคิดที่เข้ามาได้ ความสงสัยก็พอกพูน จนคิดว่าปฏิบัติตามแบบที่เราทำที่แหละ เดี๋ยวมันก็จะรู้เอง ก็ฝึกเข้าออก ให้คล่อง เอาแค่นี้ =====

    +++ ต่อให้ คำตอบอุตหลุด ออกมายังไงก็ตาม "คุณก็รู้ชัดเจนอยู่แล้วว่า การปฏิบัติของคุณ ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง" อยู่ดี
    ==== คิดว่ามาถูกทาง (เพราะสภาวะที่เป็น) แต่สงสัยว่ามันจะอ้อมไปหรือไม่เข้าหลักหรือเปล่าไม่รู้ เพราะว่าสงสัยก็ลองผิดลองถูก (โดยปฏิบัติ) เพราะคิดว่าอ่านไม่ทำให้เรารู้ในสิ่งที่สงสัยได้ ในเมื่อไม่มีใครรู้สภาวะที่เราเป็นอยู่ ก็หาคำตอบด้วยตัวเองละกัน ======

    +++ ตรงนี้กล่าวได้ว่า "คุณสิ้นสงสัยในตัวคุณเองอย่างแน่นอน" ในทุกสภาพการณ์ของ "ขี้ปากชาวบ้าน" ตรงนี้คือการวาง "วิจิกิจฉา" ลงได้แล้ว
    === หลังจากนั่งสภาธิครั้งนั้น ทำให้สิ้นความสงสัยในคำสอนพระพุทธองค์ (ว่าจริงแท้แน่นอน เชื่อสนิทใจ) มุ่งสายปฏิบัติอย่างเดียวค่ะ พอติดปัญหาหรือสงสัยจากสภาวะที่เกิดก็มาหาความรู้จาก website บ้าง ฟังธรรมจาก YouTube บ้าง) ========

    +++ และที่สำคัญที่สุด คุณเองก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า "หนทางในการปฏิบัติธรรมของคุณ ได้ลิขิตมาแล้ว"
    ==== จริงค่ะ ก่อนหน้าที่จะปฏิบัติธรรม เคยสงสัยว่าเราเกิดมาทำไม แค่กิน-นอน-ตื่นเข้า ก็ไปทำงาน – กลับบ้าน มีแค่นี้จริงๆหรือ เกิดความเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ต้องทำซ้ำซากจำเจ พยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อให้ตัวเองไม่ว่าง แบบจัดเต็มก็ทำแล้ว ก็ยังเบื่อหน่ายอยู่ดี จนมานั่งสมาธิ วันมาฆบูชา ปีนี้ ความไร้จุดหมายเบื่อหน่ายได้หมดไป มีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่รออยู่คืออยากหลุดพ้น กลัวว่าชาติหน้าจะไม่รู้ ตัวเองและไม่ปฏิบัติธรรมอย่างชาตินี้ตอนนี้ แต่ก็เดินทางสายกลางนะค่ะ เพราะมีภาระหน้าที่การงาน ครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ว่างก็ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ ใจจดจ่อ แต่สมาธิ จนอยากปลีกวิเวก ไม่อยากพบ อยากคุย อย่างยุ่งเกี่ยวกับใคร (อย่างนี้มันคือทุกข์มากกว่า) =======

    +++ ตรงนี้ผมจะแจงให้ชัดเจน คือ "โลกภายนอก" เป็นสภาวะที่ ทุกคนเสพธรรมารมณ์ด้วย "ตา หู จมูก ลิ้น กาย" กัน อันเป็นเรื่องของ "กามคุณ 5"

    +++ แต่การ "ไปผู้เดียว ประดุจนอแรด" ของคุณตรงนี้ แม้ว่าสภาวะแวดล้อมเป็นเรื่องของ "กามาวจร" แต่ "จิตของคุณ ไม่มีการส่งออกไปหามัน"

    +++ ตรงนี้คือการ "ตัดขาด หรือ ต่อไม่ติด หรือ พ้นออกมาจาก" กามาวจร หรือ "กามคุณ 5" เรียบร้อยแล้ว นั่นเอง
    ==== อันนี้ยังไม่แน่ใจค่ะ ว่าตัดขาดได้เลยไหม เพียงแต่ทุกเช้าที่เดินกลับจากส่งลูกที่โรงเรียน ก็เดินทำวิปัสสนา พยายามคิดว่าเรามีความตายเป็นเบื่องหน้า เราไม่มีอัตตา อัตตาไม่มีเรา ความรู้สึกก็จะว่างเปล่า ตัวเบาขณะที่เดิน เหมือนมีแต่เราที่เด่นชัด (เลยเข้าใจของการเดินจงกรม ว่าเป็นสมาธิได้) เพราะว่าเคยสงสัยว่าหลวงพ่อสอนให้รู้สึกตัวตลอดว่าเดิน นั่ง นอน กายเราไม่ใช่เราเป็นเพียงธาตุก้อนหนึ่ง ให้เห็นแขนที่ขยับว่าไม่ใช่แขนเรา (ตอนแรกก็เพ่งจนปวดตัว มันก็แขนเรา ดูยังไงไม่ใช่เรา แต่ก็จำคำที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า เค้าให้คิดก็คิดไปไม่ต้องถาม ก็เลยคิดไปทุกวัน จนมาเย็นวันหนึ่ง 1 เดือนที่ให้ผล ตอนล้างจานอยู่ เห็นแขนที่ขยับล้างก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แขนเรา เห็นมันขยับ สระผมอยู่ก็เห็นว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นแบบนี้นี่เอง) ====

    +++ มรรควิถีของคุณในตอนนี้ เป็น "อพรหมะจริยา" โดยสมบูรณ์แล้ว และย่อมเป็นผู้ที่ "ไม่กลับมายัง กามาวจรอีก" อย่างมั่นคง

    +++ ให้ลองอ่าน "ข้อที่ 5 ในโพสท์ที่ 5 ของหน้าแรก ในกระทู้นี้" ดูว่า อาการที่ผมกล่าวไว้ใน "สติระดับ 5" นั้น ตรงกับอาการของคุณหรือไม่
    === 5. "อยู่กับตน" สภาวะของผู้ฝึกในระดับนี้ จะมี "สติ" เป็นลักษณะเด่น มี "ความรู้สึกแห่งจิต" ชัดเจน ไม่มีความต้องการ เสพอารมณ์ภายนอก รวมทั้ง ไม่มีความต้องการ เสพอารมณ์จากความคิดตน รู้อากับกิริยาอาการของจิตตน ชัดเจน มีความสามารถในการ "หยุดกิริยาจิต" ได้ และผู้ฝึกในขั้นตอนนี้มักจะอยู่ในสถานะของ "ผู้ทรงฌาน" และถ้าหาก สามารถไล่เรียงสภาวะของ "อารมณ์เด่นอารมณ์เดียวได้" ก็จะสามารถเข้าถึงสภาวะของ "จิตเปล่งรังสี" ได้ ผู้ที่อยู่ในระดับนี้จะ รู้ตนอย่างชัดเจนว่า "การฝึกยังไม่จบ" แม้ว่าจะไปเทียบเคียงกับตำราใดก็ตาม ที่กล่าวว่าเป็น "บุคคลที่ฝึกจบแล้ว" แต่ ตนก็ยังรู้ตน ชัดเจนว่า เรื่องยังไม่จบตรงนี้ จากนั้นไม่นาน ก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนของการ "ดูตน" ==== ตรงเลยค่ะ

    +++ หากคุณ สามารถเข้ามาช่วย "เล่า" ถึงหนทางในการปฏิบัติของคุณ ในชาตินี้ จนมาถึง จุดนี้ได้ ก็จะเป็น "ประโยชน์อย่างมหาศาล" ต่อผู้ที่กำลังฝึกฝนอยู่ในขณะนี้

    === จะมีใครอยากรู้หรอค่ะ มันยาว และเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตนจริงๆ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ยินดีที่จะแชร์นะค่ะ =====
    ตอนนี้ที่ทำสมาธิ ก็จะเข้าโดยการนึกว่า ตัวเองไม่มี อัตตาไม่ใช่เรา เราไม่มีร่างกาย มองเห็นภาพที่เรามีบาเรียรัศมีสีขาว (เหมือนตัดความรู้สึกจากขันธ์ 5 สักพัก ความมืดก็จะเด่นชัด มือที่ขัดกัน ขาที่ขัดกันหายไป หายใจเหมือนลำบาก (มันแผ่วเบาและไม่รู้สึกถึงท้องขยับปอดขยับแต่ก็ไม่รู้สึกว่าหายใจไม่ออก) สักพักจะชาที่คอบ่า ถ้าออกจากสมาธิ จะเหมือนโดนน้ำเย็นเจี๊ยบรดที่บริเวณนี้ ก่อนหน้านี้จะมีบ้างที่ ตัวโยกแค่คลิ๊กเดียวเพื่อเข้าล๊อคอะไรบางอย่าง ไม่ได้ได้โยกไม่หยุดเหมือนคนอื่น แต่หลังๆ ทำไมไม่เป็นก็ไม่รู้ ตอนออกจากสมาธิก็รู้สึกว่าติดๆ จะออกเลยก็ไม่ได้ เหมือนหน่วงๆ ต้องโยกนิดนึง
     
  20. Darkblue35

    Darkblue35 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีครับ ผมขอถามเรื่องการนั่งสมาธิหน่อยครับ
    ผมพึ่งนั่งได้ไม่นานนะครับ ประมาณเดือนหนึ่งครับ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และอยู่ในขั้นไหน อาการคือ ผมไม่สามารถภาวนาพุธโธได้ครับ ผมไม่สามารถจับลมหายใจได้เลย มันเหมือนไม่มี ส่วนร่างกายผมทุกส่วนขยับเองทั้งหมดโดยเฉพาะแขน และมือ โดยที่ผมไม่สามารถควบคุมได้เลย อีกทั้งไม่สามารถลืมตาได้ การขยับแขนและมือของผม เหมือนบอกเป็นเรื่องราว เช่น พนมมือ แยกมือออก แล้วมาจับที่ขา แล้วทำท่าทางต่างๆ แล้วแต่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ผมรู้ตัวตลอดเวลา จับการเคลื่อนไหวเหล่านั้น เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมได้ เป็นแรกๆขยับแบบเอื่อยๆครับ แต่มาระยะหลังนี้ผมรู้สึกว่าการขยับเหล่านี้ช้าลงอย่างมากครับ เหมือนเราชินกับมัน ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมเป็นอาการทางจิตใต้สำนึกผมหรือเปล่าครับ ผมควรทำอย่างไรดี หากอาการเหล่านี้จะหยุดมือทั้งสองจะกลับมาอยู่ที่ท่าเริ่มต้นทุกครั้งครับ หลังจากนั้นผมจะนั่งต่อไปได้โดยไม่มีอาการอีกครับในการนั่งแต่ละครั้งนะครับ ระยะเวลาประมาณ 20 นาทีอาจมากกว่าครับ ส่วนหลังจากนั่งต่อจากอาการดังกล่าวผมจะรู้สึกว่านิ่งมากๆครับ สักพักตาผมจะเผยอออกมาเองแต่ไม่มากนะครับ พอรู้ว่าเผยอออกมา แต่เรารู้ และเรายังคงนั่งสมาธิอยู่
    ต่อไป มาวันนี้ปากผมเริ่มอ้าออกเล็กน้อยครับซึ่งพึ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าครับ มันคืออะไรครับ ผมควรหยุด หรือควรทำอย่างไรต่อดีครับ อ้อลืมบอกไปครับ เวลาผมทำกิจวัตประจำวัน หากผมต้องการเข้าสมาธิผมสามารถทำได้ครับ เช่น นั่งมองคอมแล้วเริ่มดูลมหายใจสักประมาณสองสามครั้ง ลมหายใจผมจะหายไป เหมือนเข้าสมาธิครับ การทำเช้นนี้ดีหรือไม่ครับ กรุณาตอบด้วยครับ ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดีครับ เพราะไปบอกพ่อกับแม่ท่านห่วงผมมากให้ผมเลิกทำครับ แต่ใจผมเองบอกว่ามันไม่ใช่สิไม่ดีครับ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...