"ภาวนา เพื่อสละทุกสิ่ง" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิริยะ13, 10 พฤษภาคม 2016.

  1. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ขอบคุณ คุณนิวรณ์ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ

    ผมก็อบมาหลายป้าย เพื่อเป็นประโยชน์ของผมเอง

    และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ปฏิธรรมท่านอื่นด้วย

    ส่วนเห็นป้ายแล้วจะนำไปใช้หรือไม่ พิจารณากันเอง
     
  2. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เข้ามาเล่าเรื่องอะไรคือ "ญาณทัศนะ" อันเกิดแต่ฝ่ายวิปัสสนา ที่นำเราไปสู่การหลุดพ้น


    ในชีวิตปรกติของผมจะมีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง ผมมีความตั้งใจไว้ว่าเก็บเพื่อให้ลูก เก็บเพื่อรักษาตัวเอง

    จนมาวันหนึ่งในขณะที่นั่งสมาธิ ปรากฏเป็นนิมิต ว่าผมมีหีบขุมทรัพย์พร้อมแก้วแหวนเงินทอง บรรจุอยู่

    ครั้นในเวลาต่อมา หีบที่บรรจุขุมทรัพย์นั้นหาย ผมเห็นตัวเองเที่ยวเสาะหาหีบใบนั้น ด้วยความเสียดาย


    พอออกจากสมาธิ จึงมาใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ในนิมิตที่เกิดขึ้น ว่าบอกอะไรแก่เรา พอสักครู่

    จิตจึงเข้าใจความหมายว่า ผมยังติด ยังมีความยึดถือ ในเงินทอง ว่าเป็นของๆตน ผมยังสละสิ่งนี้ออกไป

    จากจิตใจผมไม่ได้ และสิ่งนี้เอง เป็นสิ่งที่ผมต้องฝึกฝนต่อไป


    ป.ล. เมื่อฝึกมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งไหนที่ยังละไม่ขาด มันแจ้งเข้ามาในจิตเองครับ
     
  3. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น

    ท่านพระอาจารย์(มั่น)กราบทูลว่า… ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย

    … ที่สงสัยก็คือ… พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมติ

    ยังเหลืออยู่เลย… แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า… ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์

    ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติยังเหลืออยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติ

    ตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติตซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วย

    กันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่… ตถาคตก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก…ฉะนั้นการมาในร่างสมมติ

    นี้ จึงเพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต

    อนาคตก็ทรงถือเอานิมิต… คือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น… ทรงทราบอดีต

    ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไร เป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระ

    อาการนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย ก็ไม่มีทางทราบได้ในทาง

    สมมติ เพราะวิมุตติล้วน ๆไม่มีทางแสดงได้ ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ต้องอาศัยสมมติเป็นหลักพิจารณา

    ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบ

    ได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว

    ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้ เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดทางสมมติ

    เพื่อความเหมาะสมกัน ถ้าเป็นวิมุตติล้วน เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่รู้อยู่ เห็นอยู่เท่านั้น

    ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จำ

    ต้องนำสมมติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น พอมีทางทราบกันได้ว่าวิมมุตมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง

    มีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น… พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมติ

    ทั่ว ๆ ไห้ ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติเสดงตัวออกต่อสมมติในบางคราว

    ที่ควรแก่กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมขอบงวิมุตติ ไม่แสดงอาการ ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย

    หรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์มิได้มิความสงสัยทั้งสมมติและวิมุตติของพระ

    องค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวก จะ

    เสด็จมาหรือไม่ ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อ

    ประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์มิใช่ธรรม

    ชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจด จากสมมติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคต

    ถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น บรรดาพระสาวก

    ที่ตามเสด็จพระพุธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย มีพระ

    พุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม น่าเคารพเลื่อมใส

    มากเท่านั้นแม้สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส


    http://palungjit.org/threads/พระนิพพาน-จากคำครูอาจารย์.12108/
     
  4. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เมื่อประมาณสี่หรือห้าวันที่แล้ว ผมนอนหลับและฝันไปว่า มีผู้ตายคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เขาคนนั้นได้กางเล็บทั้งสิบ

    เข้ามาทิ่มที่กายเนื้อของผม ตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกตกใจกลัว ประมาณหนึ่งหรือสองวินาที เสร็จแล้ว ผมไม่ชอบ

    ในสภาวะที่กงเล็บมาทิ่มแทงกาย จึงได้ท่องคาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ แล้วออกแรงฝืนบิดกายเพื่อให้พ้นจาก

    กงเล็ยที่มาจิก เส็จแล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา...ปัจจัตตังเว ทิตัพโพ พระพุทธองค์หมายถึงสิ่งใด
     
  5. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เดี๋ยวเข้ามาเล่าเรื่องใหม่ครับ หากไม่เปลี่ยนใจ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ "

    ในแง่ของธรรมะ ที่มีความละเอียด ลึกซึ้ง .....จะเป็น สภาวะปรากฏของ

    สภาวะที่ไม่มีธรรมคู่

    คือ ไม่มีการปรากฏของ " ดิน น้ำ ลม ไฟ "

    สิ่งใดอาศัย " ดิน น้ำ ลม ไฟ " เราจะเรียกว่า " บ่อกสิณ "

    นอกจากนี้ ยังปรากฏ ลักษณะ " ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการเคลื่อน
    การเข้า การออก" ( ซึ่ง หมายถึง การปรากฏของ ภพ ชาติ ที่ย่อมมี ชรา มรณะ
    อุปยาส ความคับแค้น พิรำพิไรรำพัน สงสัย ) ซึ่งตรงนี้คือ กสิณวิญญาณ
    บ่อเกิดวิญญาณ

    ถ้า สภาวะธรรมใด ปรากฏธรรมเป็นของคู่ มีเรา มีเขา มีดิน น้ำ ลม ไฟ มีไป-มา ฯลฯ
    ก็จัดว่า ไม่เจอสภาวะ " ปัจจัตตัง " ที่ไม่มีเรื่องการถือเอาเป็นเจ้าของ


    ส่วน ปัจจัตตัง อ้างเลห์ อ้างว่า มี kuรู้ kuเห็น kuสะสม kuนั่น kuนี่ คือ
    ยังจัดว่า ไม่เคยปฏิบัติธรรม


    ปล. อนึ่ง เมื่อวันก่อนเห็นคนนำเรื่อง นิมิตหลวงปู่มั่น มาแสดง อันนี้
    ลองสังเกตดีๆ ท่านเห็นหลังจากสำเร็จหมดทุกอย่างแล้ว พวกก๊อปปี้
    จะตรงกันข้าม คือ เห็นก่อนทุกอย่างแล้วค่อยมาสร้างนวนิยายกำลังผายในทีหลัง

    ภาษาพระป่าคือ ธรรมปะผุ ธรรมเปเปอร์มาเช่ หมูกระดาษกลวงตรงกลาง
     
  7. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ขอบคุณ คุณนิวรณ์ที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ

    เป็นเรื่องที่จะเข้ามาเล่าต่อจากเมื่อเช้าครับ ผมนั่งคิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย จากการปฏิบัติที่ผ่านๆมา

    และเริ่มคิดจากตัวทุกข์ จนเลยไปถึงอริยะมรรคแปด พอคิดมาถึงตรงนี้ปั๊บ ผมร้องไห้น้ำตาฟูมฟายอย่าง

    กระทันหันขึ้นมา ผมร้องไห้ไปเรื่อยๆ พอสักครู่หนึ่ง ก็ทำให้นึกถึงชาวบ้านที่อยู่ข้างเคียงว่า เขาจะหาว่า

    ผมบ้า หรือสติไม่ดีอะไรหรือเปล่า ที่ต้องมานั่งร้องไห้คนเดียว แต่ผมก็ยังร้องอยู่อย่างนั้น ระงับมันไม่ได้


    ป.ล. เคยอ่านของหลวงตามหาบัว ว่าท่านร้องไห้

    แต่ใจของผมนะ ไม่เคยเรียนแบบหลวงตา จู่ๆ มันอยากร้อง

    ขึ้นมาเฉยๆ ก็ไม่รู้จะทำยังไง
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=201626&s=1qKeeOZcg6jB" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/u/1qKeeOZcg6jB.jpg"/></a>

    ทุกข์เกิด ก็ให้อยู่กับทุกข์ สุขเกิดก็ให้อยู่กับสุข

    ให้รู้จักตัวมัน ให้รู้จักจิตว่าคราวไหน เกิดอะไร ให้อยู่กับมัน

    สังเกตดูมัน ให้ควรดูมันโดยกำหนดจดจ่อ ดูมันให้ตลอด

    ผลที่สุด มันก็จะจืดจางหายไป เช่นเดียวกับนั่งทับหญ้า

    นานๆ ไป มันก็จะค่อยๆ ตายไปเอง....


    ท่านพ่อลี ธัมมธโร
     
  9. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=201628&s=vbbdp1Sqi4AR" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/u/vbbdp1Sqi4AR.jpg"/></a>​
     
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ช่วงประมาณกลางกุมภาพันธ์ ผมนอนลงไปที่โซฟา เห็นกงจักรที่เป็นวงล้อพลังงาน(สีขาว) ส่วนที่เป็น

    รูกลมๆ ของตัวจักรได้แตะเข้าที่กะโหลกศรีษ่ะ กะโหลกแตกเป็นผงเถ้าธุลี กระจายหายไปในอากาศ แล้วตัว

    กงจักรได้เลื่อนผ่านไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย(กระดูก) เลื่อนไปส่วนไหน ล้วนแตกกระจายไปเป็นผงธุลี

    ต่อมา เห็นชิ้นส่วนภายใน ตับ ไต ลำไส้ ม้าม ปอด หัวใจ คืออวัยวะน้อยใหญ่ หลุดหายไปในอากาศ ต่อมา

    เห็นกายทิพย์ลอยออกจากร่าง ในลักษณะนอนหงายขึ้นข้างบน และมีอีกกายหนึ่งหน้าตาเหมือนกัน อยู่ในท่า

    นอนคว่ำ คล้ายกับจะลอยลงมา (เห็นตัวผมเองที่เป็นศพนั่นหนึ่งล่ะ อีกตัวหงายขึ้นนั่นสองล่ะ อีกตัวจะลอย

    ลงมา นั่นสามล่ะ) พอต่อมา เห็นจักรวาลอันเป็นที่ตั้งของหมู่ดวงดาวน้อยใหญ่ เสร็จแล้วตัวจักรวาลนั้นได้ม้วน

    ตัวหดกลับ(ไม่รู้จะบรรยายยังไง) เป็นลูกกลมๆดำๆ ประมาณเท่าลูกฟุตบอล และมีสีขาวหลายๆจุด แปะๆๆ แปะ

    ไปโดยรอบของเจ้าลูกกลมๆ เสร็จแล้วไอ้เจ้าลูกกลมๆ ก็ดิ่งลงมาที่แถวเหนือสะดือประมาณสองนิ้วมือ ได้ภาพ

    ที่ผุดขึ้นมาใหม่ นั่นคือน้ำครับ น้ำนั้น แตกกระจายออกโดยรอบเป็นวงกลม เสร็จแล้วกลับมานิ่ง แล้วก็หายไป

    ป.ล. น้ำที่เห็นจะเหมือนกับน้ำในที่มืด เหมือนตอนเราไปลอยกระทง


    ข้อความที่เห็นด้านบน ผมโพสไว้ตั้งแต่ 26-03-2016, 08:17 PM ณ ห้องจิตวิทยา
     
  11. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/b616afa5a719fce68ab96598b05e3575" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/is/160618123151.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    ถ้าสามารถหมุนธาตุทั้งสี่ (มหาภูต)ในขนาดความเร็วของพายุทอร์นาโด

    จะทำลายรูปกายที่เป็นเนื้อหนังมังสา เอ็น กระดูก ที่เป็นที่ยึดเกาะของจิต

    ที่เห็นว่าร่างกายเป็นตัวเป็นตน

    ป.ล. กระดูก คือธาตุดินที่แข่งแกร่งที่สุดในกายมนุษย์


    ขอบคุณแหล่งที่มาของภาพ และขออภัยที่ผมเติมแต่ง
     
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/0e9182f86a4fc7cbfcb0ceaf2a9b3bc4" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iz/160707032852.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    #‎ไขปริศนาพระเจ้าตาก‬! รู้แล้วต้องทึ่ง! ใครกันแน่คือครูสอนกรรมฐานเจ้าตาก!?

    เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ลี้ลับมาก ถูกกล่าวไว้ว่าจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อจรัญ โดยเปิดเผยว่าอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน
    ให้พระเจ้าตากคือ พระในดง ผู้ทรงอภิญญา ส่วนหลักฐานทางประวัติศาสตร์พระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น
    เท่าที่ทราบในปัจจุบันคือ หลวงปู่ทองดีจากวัด โกษาวาศน์ จ.พระนครศรีอยุธยา (เป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเรียน
    หนังสือและออกบวชครั้งแรก 3 พรรษา) ส่วนอีกท่านเป็นพระภิกษุ ผู้ทรงอภิญญาลึกลับ เรียกกันว่า “พระในดง” หรือ
    บ้างก็เรียกว่า “หลวงตาดำ” แต่ที่รู้จักกันดีในแวดวงนักกรรมฐานคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร”
    .
    หลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระอภิญญาที่หลวงปู่โง่นเองก็ยืนยันว่ามีจริง และหลวงปู่โง่นเองก็ยังเคยได้รับการสั่งสอนกรรม
    ฐานจากหลวงปู่โลกอุดรด้วย หลวงพ่อจรัญก็เช่นกัน ท่านเองก็ได้พบกับหลวงปู่โลกอุดรหรือหลวงตาดำ เป็นพระรูปร่างสูง
    ใหญ่ผิดมนุษย์ หลวงตาดำหรือหลวงปู่โลกอุดรนี้ มาสอนสติปัฏฐานให้หลวงพ่อจรัญ สอนการเดินจงกรมและการภาวนา
    หลายอย่างส่วนหลวงปู่โง่นกล่าวว่า หลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านมาสอนเรื่องการใช้กายแฝงหรือกายทิพย์
    .
    การพบกันของหลวงปู่โลกอุดรและพระเจ้าตากสินนั้น หลวงพ่อจรัญท่านเล่าไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าตากสินตั้งค่ายอยู่ในป่า
    ครั้นตกดึก ก็มีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาถึงในที่ประทับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเดินฝ่าทหารคุ้มกันมาเช่นนี้
    .
    สมเด็จพระเจ้าตากสินถามพระลึกลับรูปนั้นว่า
    “ท่านเข้ามาได้อย่างไร”
    พระลึกลับตอบว่า “เดินเข้ามา”
    พระเจ้าตากถามว่า “แล้วทหารไม่เห็นท่านดอกหรือ”
    พระลึกลับรูปนั้นตอบว่า “ไม่ทราบ”
    พระเจ้าตากคิดในใจว่าจะสั่งลงโทษทหารยาม พระลึกลับรูปนั้นก็กล่าวดักใจขึ้นมาทันทีว่า
    “อย่ามองความผิดผู้อื่น ให้มองความผิดตัวเองดีกว่า”
    .
    คำพูดของพระลึกลับรูปนั้น ทำให้พระเจ้าตากแปลกใจ เพราะสามารถล่วงรู้ความคิดในใจของพระองค์ได้ จากนั้นพระลึกลับ
    รูปดังกล่าวก็แสดง “อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์” คือ เทศนาโปรดใจความว่า

    “มหาบพิตรทำลายชีวิตคนมานักต่อนัก ฆ่าคนมามากต่อมาก มือทั้งสอนเปื้อนเลือด การกระทำเหล่านี้เป็นบาปหนัก แม้ว่า
    จะลาจากโลกนี้ไปแล้วย่อมมีนรกที่ไปเป็นแน่แท้”

    พระเจ้าตากจึงตอบว่า “ที่กระผมทำไปเพราะเป็นหน้าที่ ในการปกป้องแผ่นดิน”

    พระลึกลับรูปนั้นท่านก็ตอบกลับมาว่า
    “มาบัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วมหาบพิตรเกิดมาเพื่อกู้ชาติ หน้าที่นี้ก็ลุล่วงอย่างสมบูรณ์
    ส่วนการปกป้องชาตินั้นเป็นหน้าที่ของผู้อื่น สมควรให้เขามาทำแทน ขอมหาบพิตรอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาต
    ดาบจากมหาบพิตร”
    .
    “แล้วเหตุใดกระผมจึงต้องทำเช่นนั้น”
    .
    “ทำไปเพื่อเป็นการตัดความหลงในวัฏสงสาร เพราะหากพระองค์ต้องรับภาระในการปกครองบ้านเมืองก็รังแต่จะสร้างกรรมน้อย
    ใหญ่ผูกมัดให้เกิดชาติภพ หลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จักจบยาวนานจะบังเกิดแต่ความทุกข์มีชาติ ชรา มรณะเป็นต้น
    อาตมาทราบดีว่ามหาบพิตรได้ทำบุญมานับชาติไม่ถ้วน มีวาสนาจะบรรลุธรรมชั้นสูงในบวร พระพุทธศาสนา ในครั้งนี้จึงได้มา
    โปรดให้รู้แนวทางมรรคผลเพื่อตัดทางสังสารวัฏอันยืดยาว”

    ด้วยการสนทนาเพียงเท่านี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินก็เกิดสติปัญญาขึ้นมา ล่วงรู้ว่าพระภิกษุลึกลับที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหาใช่
    พระภิกษุธรรมสามัญไม่ แต่ต้องเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษจึงสามารถล่วงรู้วาระจิตทายทักดักใจได้ เพียงการเทศนาแต่
    เพียงน้อยก็ทำให้เกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
    .
    พระลึกลับรูปนั้นได้เมตตาสอนสติปัฏฐาน 4 แก่สมเด็จพระเจ้าตากสิน และหลังจากที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยหลักพุทธานุสติ
    และอาณาปนสติประกอบด้วยสติปัฏฐาน 4 นั้น จิตของพระองค์ลุล่วงเข้าสู่สมาธิชั้นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เห็นเป็นเพราะผู้มีบุญ
    วาสนามาแต่ปางก่อน ซึ่งพระลึกลับรูปนั้นล่วงรู้เรื่องนี้ดี เป็นไปตามความเป็นจริง

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินปฏิบัติทางมรรคผลนี้แล้ว ภูมิจิตภูมิธรรมเดิมก็บังเกิดเลิกการจับดาบถือดาบ เปลี่ยนแปลงไป
    เหมือนคนละคน ไม่นิยมสุงสิงกับใคร วันๆ ตั้งหน้าปฏิบัติดูจิต ดูกายเท่านั้น คนทั่วไปทางโลกวิสัยก็เข้าใจว่าพระองค์บ้า !

    การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางพระในดงรูปนั้น เชื่อกันว่าทำให้พระเจ้าตากบรรลุมรรคผลเบื้องต้นโดยสะดวกคือได้
    “พระโสดาบัน” ตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาส นับเนื่องเป็นบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยแท้จริง
    .
    ที่มา : หนังสือญาณพระอริยะ ไขปริศนาพระเจ้าตาก
     
  13. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/be6e2b10602fd6c8fac4cb012fff7dd9" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/if/160707035055.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    การดูจิตให้เกิดอริยมรรค

    เมื่อเราเจริญสติเห็นความจริงของจิตใจ
    ว่าเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อย
    ถึงจุดหนึ่ง
    สติ สมาธิ ปัญญา จะประชุมลงที่จิตในขณะที่อริยมรรคจะเกิด
    โดยจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติ

    สติจะระลึกลงที่จิตโดยไม่เจตนาระลึก
    สมาธิตั้งมั่น จิตตั้งมั่น ไม่หลงไม่ไหลไปที่อื่นโดยไม่เจตนา
    ใจตั้งมั่นแล้วก็ไม่คิดไม่นึกอะไร
    ปัญญาหยั่งรู้ลงไป เห็นความเกิดดับภายใน
    แต่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่มีความคิด
    ไม่มีสัญญาหยาบๆ ด้วย
    จะเห็นแต่ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
    เมื่อสติ สมาธิ ปัญญา รวมลงที่จิตที่เดียวแล้ว
    อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นตรงนั้น​
     
  14. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/6acab4462fd420ddc84eaa546a592fd2" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/io/160707035404.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    แม้กระทั่งความสงบและความว่าง
    ยังเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต
    นับประสาอะไรกับอารมณ์อื่นๆ

    ทีนี้เมื่อเห็นชัดแล้วว่า
    แม้แต่ความว่างยังต้องวาง
    เมื่อต้องกลับมารู้อารมณ์หยาบๆ
    จิตจะวางอารมณ์ที่หยาบกว่าได้เร็วขึ้น
    แล้วก็ไม่ไปจับไปถือเอาความสงบไว้ด้วย
    จึงเป็นความสงบและว่างอย่างแท้จริง
    เพราะไม่ปรุงแต่งใจ ไม่คอยไปจับอะไรไว้​
     
  15. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/46b1d6165083986d1314a11d72f6fa87" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ie/160707040409.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    การพิจารณาธรรมเพื่อถ่ายถอนจิตที่
    ติดในรูป โดยใช้รูปนั้นเข้าพิจารณา
    ซึ่งได้แก่ "ภาพของแม่หญิงลาว" มา
    พิจารณาว่าจิตที่คิดชอบพอรูปหญิง
    งามนี้เกิดจากที่ไหนโดยแยก
    พิจารณาตามอาการ ๓๒ ประการ
    เทียบเข้ามาหากายของตน

    พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า
    อวัยวะอย่างนั้นๆ ของตนก็มี ทำไมจะ
    ต้องไปรักไปหลง ไปคิดถึง เพ่ง
    พิจารณาทีละส่วนพิจารณาอยู่อย่าง
    นั้น ทั้งกลางวัน กลางคืน ทุกอิริยาบถ

    ตอนหนึ่งการพิจารณามาถึงหนัง ได้
    ความว่าคนเราหลงรักกันอยู่ที่หนัง
    หนังเป็นเครื่องปกปิดสิ่งที่ไม่น่าดูไว้
    ถ้าถลกหนังออก อวัยวะทุกส่วนก็หา
    ส่วนที่น่าดูไม่ได้เลย เพ่งพินิจดู จน
    เห็นถึงความเน่าเปื่อย ผุพัง สลายไป
    ไม่มีส่วนไหนที่จะถือได้ว่าเป็นของ
    มั่นคง

    เมื่อพิจารณามาถึงมูตร (ปัสสาวะ)
    และกรีสะ (อุจจาระหรือคูถ) ของ
    หญิงนั้น ตั้งคำถามขึ้นว่าหญิงนั้นงาม
    น่ารัก มูตรและกรีสะของหญิงนี้กินได้
    ไหม จิตตอบว่ากินไม่ได้ จึงยกถาม
    อีกว่า เมื่อกินไม่ได้ อันไหนที่ว่างาม
    อันไหนที่ว่าดี เมื่อพิจารณามาถึง
    อาการทั้งสอง ยกเป็นอุบายถามจิต
    จิตเมื่อถูกปัญญาซักฟอกหนักเข้า ก็
    จนด้วยเหตุผลของปัญญยอมอ่อนตัว
    ลง เพราะจนด้วยความจริงและอุบาย
    ของปัญญา

    เมื่อหลวงปู่แหวนเห็นจิตของตนยอม
    อ่อนลงให้กับปัญญาตามความจริงที่
    เกิดจากการพิจารณา "กายคตาสติ"
    เพื่อทดสอบตนเองว่ายังหลงรักแม่
    หญิงงามคนนั้นอยู่หรือไม่ หลวงปู่
    แหวนปล่อยให้ใจคิดถึงภาพของเธอ
    หลายครั้งหลายหน แต่มาคราวนี้ จิตก็
    เพียงแค่รับรู้การระลึกถึง "ภาพ" โดย
    ไม่ส่งจิตออกไป หลวงปู่แหวนกล่าว
    ถึงข้อธรรมที่ได้คราวนี้ว่า

    "มีความมั่นใจต่อธรรมและความมั่นใจ
    ที่จะบวชตลอดชีวิต มีความมั่นคงไม่
    โยกเยกคลอนแคลนอีกต่อไป"

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     
  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/589d6f52d5ff10bd82e06d0bc797cc78" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ii/160707042426.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    หลวงปู่มั่นฝากภาระพระศาสนา

    ระหว่างที่ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย เข้าไปสรงน้ำ พระคุณเจ้าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ชอบ
    ท่านนั่งถูขาให้องค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาวท่านเป็นผู้ถูแขน หลวงตามหาบัวท่านเป็นผู้ถูหลังให้องค์ท่านหลวงปู่มั่น
    องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดให้ทั้งสามฟังขณะที่กำลังสรงน้ำให้องค์ท่านอยู่นั้น องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดขึ้นมาว่า

    “ท่านชอบ ท่านขาว ท่านมหา (บัว) พวกท่านทั้งสามในอนาคตข้างหน้าจะได้เป็นครูบาอาจารย์ของหมู่คณะประชาชน
    เป็นที่พึ่งของบริษัทบริวารได้ อ้ายเฒ่านับวันจะแก่ชราลงไปเรื่อยๆ การเทศนาว่าการก็ไม่เต็มที่เพราะธาตุขันธ์
    ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ภาระต่างๆ ในพระศาสนาต่อไพวกท่านทั้งสามนั้นจะได้เป็นผู้ดูแลสืบทดแทนเรา เราฝากพวกท่าน
    ดูแลภารพระศาสนาต่อจากเราด้วย มีสัตว์โลกอีกมากมายทั้งหยาบทั้งละเอียดที่รอการสงเคราะห์จากพวกท่าน อ้ายเฒ่า
    จะอยู่ได้อีกวัน อ้ายเฒ่จะตายวันตายพรุ่งไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”องค์ท่านหลวงปู่มั่นไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน หลวงปู่ชอบ
    ท่านทราบว่านี่คือการส่งสัญญาณว่าองค์ท่านเตรียมจะละขันธ์นิพพาน หลังจากสรงน้ำองค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว
    ท่านนำเรื่องนี้มาปรึกษาหลวงปู่ชอบยังที่พัก หลวงปู่ขาวถามที่อาจารย์ใหญ่ท่านพูดแบบนี้อาจารย์ชอบเข้าใจว่าอย่างไร
    หลวงปู่ชอบตอบหลวงปู่ขาวสั้นๆ ว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านปลงสังขารแล้ว จากนี้อีกไม่กี่ปีหรอกท่านอาจารย์ใหญ่
    จะนิพพานแล้ว ต่อมาหลวงตามหาบัวได้นำเรื่องนี้มาถามหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบท่านบอกหลวงตามหาบัวเหมือน
    กับที่ท่านบอกหลวงปู่ขาว แต่หลวงตามหาบัวท่านมีข้อสงสัยอยากจะถาม คือเรื่องที่หลวงปู่มั่นท่านฝากภาระพระศาสนา
    ไว้ให้ท่านทั้งสามรับช่วงต่อจากองค์ท่าน หลวงตามหาบัวท่านสงสัยจึงมาขอให้หลวงปู่ชอบท่านอธิบายให้ความกระจ่าง
    เรื่องนี้แก่องค์ท่าน องค์ท่านหลวงปู่ชอบจึงให้ความกระจ่าง เรื่องแก่องค์ท่านหลวงตามหาบัว ท่านมหาบัวต่อไปข้างหน้า
    ท่านต้องเป็นผู้ที่สำคัญในพระศาสนา ถ้าไม่เช่นนั้นอาจารย์ใหญ่ท่านจะไม่มอบหมายภาระพระศาสนาให้ ท่านอาจารย์ใหญ่
    ท่านรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครสำคัญใครไม่สำคัญ วันนี้ท่านมหาบัวยังสงสัยอยู่ แต่วันข้างหน้าท่านมหาบัวก็จะรู้เองว่า
    อะไรคืออะไร ผมพูดแค่นี้ท่านมหาคงพอจะเข้าใจอยู่ดอก ให้ท่านจำเอาไว้ว่าท่านอาจารย์ใหญ่มั่นเมื่อกล่าวอะไร
    ออกมาแล้วจะไม่เป็นอย่างอื่นเลย” หลวงปู่ชอบท่านพูดให้หลวงตามหาบัวฟังเพื่อคลายความสงสัยที่ท่านมีในเรื่องนี้..
     
  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/1bd1e67045c6f9a32bfb053ac49ec4f6" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/it/160707055349.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​
     
  18. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/33d4c067047bd09f9d0d463c88dcd7ff" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ib/160324045038.jpg" alt="images by free.in.th"/></a>​
     
  19. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    นี้มันนิมิตดี๊ดีนะครับ
    ทรัพย์มีอยู่ แต่หาไม่เจอเท่านั้น

    เหมือนเราขุดบ่อ เพื่อหาน้ำ
    น้ำมีอยู่แต่เจ้าของขุดไม่ถึงน้ำ

    เลยไม่ได้น้ำมาอาบ กิน ใช้...
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/e4d942921a3d0f84faa620b6cf8f9e06" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ia/160716015754.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    “ จิตจะดวงเด่นสักเพียงไหนก็ตาม พระบรมศาสดาไม่สอนให้ถือมั่น
    จิตก็เป็นแต่สักว่าจิต ผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้ ให้ส่งคืน
    จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย ไม่ให้อาลัย ให้ส่งคืน

    สมมุติก็ส่งคืนให้สมมุติ
    อดีตก็ส่งคืนให้อดีต
    อนาคตก็สอนให้ส่งคืนให้อนาคต
    ปัจจุบันก็ส่งคืนให้ปัจจุบัน
    อย่าได้เข้าไปสอดแทรกยึดถือ
    เอาเป็นเจ้าของใดๆ ทั้งสิ้น...
    เราจะทำได้หรือไม่
    ถ้าเราทำได้เราก็พ้น
    ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็ยังไม่พ้น
    มันมีเท่านั้นปัญหาของมัน.“

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
     

แชร์หน้านี้

Loading...