"ภาวนา เพื่อสละทุกสิ่ง" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิริยะ13, 10 พฤษภาคม 2016.

  1. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ถามคุณนิวรณ์ครับ
    จะสอนคนที่ใกล้จะหมดลมหายใจให้ภาวนา ยังไง
    แล้วมีโอกาส ได้ สมสีสี ครับ
    ขอบคุณครับ
    ปล.สำหรับคนที่ไม่เคยภาวนาด้วยครับ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าไม่เคยภาวนามาเลย ก็ต้อง เอา ศรัทธานำหน้าไปเลย ถ้าพลาด
    ก็ยังไปสวรรคิ์ด้วยสุภนิมิต แต่ถ้าไม่พลาดรู้ทัน ศุภนิมิต แล้ว กำหนดรู้
    ได้ก็จะมีลุ้น [ คนใกล้หมดลมหายใจ เห็นอะไร จะปล่อยอยู่ในตัว เลย
    ใช้ ศรัทธานำให้นึกถึงอะไรก็ได้ ทีเ่ป็น ศุภนิมิต ]

    แต่ถ้าเคยภาวนา โดยมี อานาปานสติ + มรณะสติ มาก่อน
    ก็กล่าวนำ ด้วยสัญญาสูตร(คือ ต้องรู้ คุ้นเคยกับ ผลจิต จากการภาวนา
    ของเขาแล้ว ปรารภให้เห็นสัญญานั้นไม่เที่ยง หรือ พาตรึกให้ปล่อยลุกเดียว)
    ก็จะสามรถ ตกกระไดพลอยโจน ได้(ด้วยความสามารถเขาเป็นต้นทุน)


    ปล. ตัวคนบอกบท จะต้อง เย็น(สัปปายะ)เป็นนะ หากมีกังวล ไม่มั่น
    ใจ อย่าไปนำ ให้วางอุเบกขาไป มีประโยชน์กว่า
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุงขาจอง น่าจะ คุ้น สภาวะธรรม " การหมดความจงใจจะภาวนา "
    โดยที่ ก็เห็นอยู่ว่า "จิตประกอบกิจสิกขาของมันอยู่..."

    จังหวะที่ " จิตมันปล่อย กิจที่ควรทำ ระลึกได้ว่า ทำแล้ว " ตรงเนี่ยะ
    จะเป็น สภาวะธรรม ที่เรา ส่งจิตสู่จิต ให้เขาระลึกได้ว่า

    " กิจที่ควรทำ ได้ทำแล้ว "

    " กิจที่ควรทำ ได้ทำแล้ว "

    " กิจที่ควรทำ ได้ทำแล้ว " [ คนยังไม่จบ มันจะ ชะเง้อๆ หน่อยๆ ไม่ว่ากัน ]

    ซึ่งจะ คุงขาจอง จะ ศรัทธา มั่นคง จน จิตเป็นสัปปายะ ไม่สั่นไหว ไม่ฝุ้งซ่าน
    ไม่โอภาส ก็ต้องเคย ชน บ่อยๆ ( จะไปส่งเขา ก็ต้อง เจอมาก่อน อะนะ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  4. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ขอบคุณครับ
    ส่วนตัวส่งคำถามไปถามหลวงพ่อสงบ
    ท่านก็ตอบมาตามสมควรแก่คำถาม
    ช่วงหลังๆมันรู้สึกนึกถึงบุญคุณครูบาอาจารย์ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
    ภาวนาแล้วตัวตนมัน รู้สึกได้ว่าตัวตน เบาบางลงมาก
    นึกถึงคุณนิวรณ์ขึ้นมา เลยเข้ามาถาม เผื่อคนอื่นด้วย
    ขอบคุณครับ
    ปล.
    ..........แต่ถ้าเคยภาวนา โดยมี อานาปานสติ + มรณะสติ มาก่อน
    ก็กล่าวนำ ด้วยสัญญาสูตร(คือ ต้องรู้ คุ้นเคยกับ ผลจิต จากการภาวนา
    ของเขาแล้ว ปรารภให้เห็นสัญญานั้นไม่เที่ยง หรือ พาตรึกให้ปล่อยลุกเดียว)
    ก็จะสามรถ ตกกระไดพลอยโจน ได้(ด้วยความสามารถเขาเป็นต้นทุน)......
    แล้วสำหรับคนที่เคยภาวนา แต่ไม่ได้ได้ผลใดๆ จะนำเขาปล่อยอะไรครับ หรือให้ระลึกศุภนิมิตแบบ บนจะsafeกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นั่นแหละๆ แถวๆ นั้น แถวเห็น " ความเบาลง "

    ถ้าชำนาญจริงๆ คุ้นเคยคนที่จะส่ง อะไรที่เป็น สัมมาทิฏฐิ เอามา
    "นำ" พาให้เขาเห็นการ "ปล่อย" ที่มีต้นทุนจากจิตเขา ได้หมด
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอิ่ม ถ้าถามมาแบบนี้ ธรรมมันฟ้องนะว่า คุงขาจอง ไม่ใช่ สัปปายะบุคคล ของเขา

    คือ ถ้าเป็น สัปปายะบุคคลเนี่ยะ เขาจะต้อง เล่า อะไรที่เป็น อุตริมนุษยธรรม
    ให้เราฟังบ้าง เอาแค่ ทำทานแล้วจิตเขาสบาย แล้วเขาเล่า ผลจิต แบบนั้น
    ให้เราฟังแบบว่า ไม่ได้เล่าให้เราฟังเพื่ออวดเท่าไหร่ เพื่อโอ่(ข่มเรา)ยกเว้น

    จริงๆ จะมีการ ปราวนาตนในเรื่องกิเลส เห็นกิเลสด้วย ถ้า สัปปายะมากๆ
    แต่อะไรที่เป็นเรื่อง เห็นกิเลส ไม่เอา เอาแต่ ศุภนิมิต ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งง ตรง การข่ม ไหม

    อันนี้ ต้องยกตัวอย่าง

    ลูกสาวอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่ ข่มพ่อตัวเองว่า " น้องชาย "
    เป็นการ ข่มด้วยเพราะ ลูกสาวท่านสำเร็จสกิทาคา แต่ ผู้เป็น
    พ่อเอาแต่ ทำทาน ไม่ภาวนา แช่โสดาบัน ก็เลย ข่มกันบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  8. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    เอ่อ
    เรื่องทาน ศีลก็เล่าครับ
    มีเล่าบ้างว่าที่ภาวนาว่า เคยได้แสงสว่าง แต่มันนานมากแล้วครับ
    ภาวนาปัจจุบันไม่มีผลอะไรแบบนั้นแล้ว เลยบอกไปว่าไม่ได้ผลอะไรครับ
    เรื่องข่มไม่มีนะครับ เขาเป็นผู้มีพระคุณครับ
    ขอบคุณครับ
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นานมากแล้ว ก็ใช้ได้

    ต้องทำความเข้าใจ " สัญญาสูตร " ให้ดีๆ จะพอเข้าใจ ตกกระไดพลอยโจน

    แต่ ไปอ่านในพระไตรปิฏก จะ งง หน่อยๆ นะ สำนวนแปล จะพางง และ
    มองไม่ออกว่า บรรลุธรรม ยังไง

    อันนี้ เลยต้องโยงไปเรื่อง

    " การหมดจงใจในการภาวนา " เฉพาะ ที่ " จิตมันเห็นว่ากิจที่ควร ได้ทำแล้ว "

    ซึ่ง คุงขาจอง สายบริกรรม ก็จะ คล้ายๆ เห็น จิตบริกรรม มันบริกรรมของมันเอง
    แล้ว เกิดการ หยั่งลง วางใจ อนุโลมไปตามอำนาจจิตนั้น ซึ่ง มันจะมีการ กำหนดรู้
    แลอยู่ ประกอบอยู่ด้วย .....ซึ่ง หากคุงขอจอง หมดความจงใจ จะเห็น จิตมันรวม
    แล้วเบาไปหมด ไม่เกิดน้ำหนักแม้นที่จิต อะไรแบบนี้ [ หากยังไม่มีการ ประหานกิเลส
    มันจะเกิด อาการชะเง้อๆ ความอยากบรรลุ การตรึก การสงสัย เข้ามาแทรก ]

    ต้อง ชน บ่อยๆ ถึงจะเอามา ใช้ เป็น .....ถ้า ไม่เคยชน ฟังแล้ว งง วางอุเบกขา ดีกว่า

    ให้ ขันธ์5 ของเรา เป็น ธาตุแวดล้อม เย็นๆ สว่างๆ ล้อมรั้วไว้ ดีกว่า
     
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ยินดีเพราะทุกข์ ไม่ยินดีเพราะทุกข์

    ทุกข์เพราะคิด คิดเพราะทุกข์

    ทุกข์คือขันธ์ ขันธ์คือทุกข์
     
  11. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    มีวงกลมอยู่สามวง วงกลมที่หนึ่งเรียกเวทนา

    วงกลมที่สองเรียกเวทนา วงกลมที่สามเรียกเวทนา

    แต่ทั้งสามวงกลม ต่างไม่มีชื่อ เรียกว่าเวทนา

    มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง นั่งดูวงกลมทั้งสาม

    ส่วนตัวผมเอง เป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็น อีกที เอวัง!



    ข้อความสีแดงที่เห็นเป็นการฝึกที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันที่แล้ว ผมขอยกมาอ้างอิง

    ไว้ที่กระทู้นี้ก็แล้วกันครับ เพื่อสำหรับเป็นกรณีศึกษา ส่วนใครจะเห็นว่าผมยก

    หางตัวเองหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใจของท่านเอง


    ในวันที่ผมฝึก ผมมองเห็นความรู้สึกหนึ่ง ที่เป็นความพอใจ เกิดขึ้นมาก่อน

    พอความรู้สึกแรกดับลง มีความรู้สึกที่สองเกิดขึ้นมาใหม่ นั่นคือความไม่พอใจ

    พอความรู้สึกที่สองดับลง มีความรู้สึกที่สามเกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งความรู้สึกที่สามนี้

    ก็ไม่รู้จะบอกยังไงถูก พอผมเห็นทั้งสามความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมเห็นกลายเป็น

    วงกลมสามวง แล้วมีพระพุทธรูปปางนั่งสมาธินั่งหันข้าง เหมือนกับกำลังนั่งดูวง

    กลมทั้งสาม สภาวะจิตของผมในเวลานั้น(ออกจากสมาธิแล้วจึงค่อยมาพิจารณา)

    เปรียบเหมือนกับเรากำลังนั่งมองภาพ ภาพหนึ่ง ซึ่งภาพนั้นไม่มีการเคลื่อนไหว

    ใดใดอีก คือภาพมันนิ่งสนิท และ สภาวะจิตในเวลานั้น เหมือนกับไม่มีผู้ดู ไม่มีผู้รู้

    และผมไม่มีความรู้สึกในตัว ในตน ที่อยู่ ณ เวลานั้น ๆ (บอกไม่ค่อยถูกครับ)


    อนึ่ง หากมีใครมาแนะนำผมว่า ให้สะสางจัดการกับสิ่งที่ผมเห็น ผมก็ขอตอบเลยนะครับ

    ว่า ในสภาวะความรู้สึกนั้น ไม่สามารถสะสางจัดการอะไรได้ครับ เพราะ ถ้าเข้าไป

    สะสางจัดการ จะกลายเป็นอุปทานเกิดขึ้นทันทีครับ คือ เหมือนกับเราไปแทรกแซงอาการ

    แทรกแซงสิ่งที่รู้ที่เห็น และจิตที่คิดเข้าไปแทรกแซง จะกลายเป็นจิตที่มีอามิส คือจิตที่

    หวังผลตอบแทนในการปฏิบัติ นั่นเองครับ


    ป.ล. จะผิดหรือถูกไม่เป็นไรครับ เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ
     
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/2378d9b7a810192e351caf8f48ef2660" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iy/160525050626.png" alt="images by free.in.th" /></a>

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิดนั่นแหละจึงรู้

    หลวงพ่อปราโมทย์ : วิธีที่ใจจะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เนี่ย หนีไม่พ้นการดูจิตหรอก

    ถึงจะหัดพุทโธๆนะ ก็ต้องรู้ทันจิต ถึงจะรู้ลมหายใจก็ต้องรู้ทันจิต ถึงจะดูท้องพองยุบ
    ก็ต้องรู้ทันจิต ถ้าไปรู้พุทโธ ถ้าไปรู้ลมหายใจ ถ้าไปรู้ท้อง ก็ได้สมถะ ได้จิตที่ไปแนบ
    อยู่ในอารมณ์อันเดียว เพราะฉะนั้นการดูจิตเนี่ย จะชอบหรือไม่ชอบ ก็ต้องดูจิต ไม่งั้นเรา
    จะไม่ได้จิตที่เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขึ้นมา

    วิธีที่เราจะได้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นะ เราก็ทำกรรมฐานเหมือนเดิม แต่เรารู้ทันจิต
    แต่เดิมเราพุทโธให้จิตสงบอยู่กับพุทโธ หายใจให้จิตสงบอยู่กับลมหายใจ ดูท้องพองยุบ
    ให้จิตไปอยู่ที่ท้อง สงบอยู่ที่ท้อง เดินจงกรมให้จิตสงบอยู่ที่เท้า เมื่อก่อนเราทำสมาธิกันแบบนี้

    เดี๋ยวนี้เอาใหม่ เราพุทโธๆ จิตหนีไปคิด เรารู้ทัน จิตไปเพ่งจนกระทั่งจิตนั้นนิ่งๆอยู่ เรารู้ทัน
    หายใจอยู่ จิตหนีไปคิด เรารู้ทัน จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ เรารู้ทัน เนี่ยรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
    เคลื่อนไปคิดกับเคลื่อนไปเพ่ง

    การเคลื่อนไปของจิตนั้น เคลื่อนได้สองแบบเท่านั้นแหละ เคลื่อนไปคิดกับเคลื่อนไปเพ่งนะ
    เป็นหลักๆเลย ส่วนเคลื่อนไปดู เคลื่อนไปฟัง เคลื่อนไปดมกลิ่น เคลื่อนไปลิ้มรส อะไรเนี่ย
    มีน้อย ส่วนใหญ่ก็เคลื่อนไปคิด แต่พอคิดถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ก็เคลื่อนไปเพ่ง ให้เราคอยรู้
    ทันจิตที่เคลื่อนไปเคลื่อนมานี่แหละ แล้วอย่าไปบังคับมัน อย่าไปห้ามมันนะ ทันที
    ที่เรารู้ว่าจิตเคลื่อน จิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา

    เนี่ยครูบาอาจารย์หลายองค์เลย ท่านสอนลงมาตรงจุดนี้ แต่ท่านไม่ได้พูดด้วยสำนวน
    ที่หลวงพ่อพูด ท่านพูดด้วยสำนวนของท่าน แต่ละองค์ๆ บางทีเราคนละยุคคนละสมัย เราฟังยาก

    ยกตัวอย่างหลวงปู่ดูลย์บอก “คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิด” เนี่ย ฟังแล้ว
    เหมือนปริศนาธรรมนะ ความจริงแล้วท่านพูดตรงๆเลย ขณะที่คิดไม่รู้ ขณะที่รู้ไม่ได้คิด
    แต่ต้องปล่อยให้จิตคิด ไม่ใช่ห้ามจิตไม่ให้คิด

    พอจิตคิดไปแล้วจิตก็เคลื่อน พอจิตเคลื่อนเราก็รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่น ตรงที่จิตตั้งมั่น จิตหลุดออก
    จากโลกของความคิด เป็นจิตที่รู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจิตรู้เนี่ยหลุดออกมาจากโลกของความคิดแล้ว
    ในความเป็นจริงแล้ว พระอรหันต์ก็คิด แต่ว่าจิตของท่านไม่เคลื่อน จิตไม่เคลื่อน แต่พวกเรา
    ถ้าคิดนะจิตจะไหลเลยนะ เราไม่ห้ามนะ

    หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “คิดเท่าไหร่ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด” ก็ให้มันคิดไป
    แต่คิดแล้วจิตเคลื่อนไปนะ จิตเกิดอะไรขึ้นแล้วคอยรู้ทัน ก็จะเห็นเลย พอรู้ทันว่าจิตเคลื่อน จิตตั้งมั่น

    หรือหลวงพ่อเทียนสอนให้ขยับมือ ท่านบอกเขย่าธาตุรู้ ปลุกความรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านสอนว่า
    “เมื่อไหร่รู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้นจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ” ต้นทางของการปฏิบัติก็คือจิตที่ตั้งมั่นนั่นเองนะ

    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาฝึกนะ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ พูดด้วยสำนวนที่แตกต่างกัน
    ถ้าครูบาอาจารย์รุ่นก่อนจะบอกว่า มีผู้รู้ สมัย ๓๐ ปีก่อน หลวงพ่อเข้าไปหาครูบาอาจารย์
    ท่านจะพูดว่า ต้องมีจิตผู้รู้ มีจิตผู้รู้ พูดเหมือนๆกันหมดทุกวัดเลย ไปหาองค์ไหนก็บอกให้มีจิตผู้รู้

    เราก็ฝึกให้จิตเป็นผู้รู้ จิตเป็นผู้รู้จิตจะหลุดออกจากโลกแห่งความคิด วิธีให้ได้จิตผู้รู้ก็คือ
    รู้ทันจิตที่ไหลไป ไหลไปคิดรู้ทัน ไหลไปเพ่งรู้ทัน เราก็จะได้จิตที่เป็นผู้รู้ขึ้นมา ตรงนี้แหละ
    เป็นต้นทางของการที่จะเจริญปัญญา จะชอบดูจิตหรือไม่ชอบดูจิต ก็ต้องทำตรงนี้

    เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคน ก็ต้องให้จิตตั้งมั่น ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตหลุดออกจากโลก
    ของความคิด แต่ไม่ได้ห้ามความคิด คิดได้ คิดแล้วรู้ทันว่าจิตเคลื่อนไป จิตก็ตั้งมั่น
    เวลาลงมือปฏิบัตินะ รู้ลมหายใจ จิตเคลื่อนไปที่ลมหายใจ ให้รู้ทันว่าจิตเคลื่อนไปที่ลมหายใจ
    จิตก็จะตั้งมั่น ให้รู้ทันจิตที่เคลื่อนนะ จิตจะตั้งมั่น นี่แหละคือการเรียนเรื่องจิต แล้วจิตจะเกิดสมาธิขึ้นมา



    เว็บไซต์ Dhammada.net
     
  13. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    คำสอนหลวงปู่ดุลย์ เรื่องนิพพาน


    ครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า การอยากรู้เรื่องนิพพานก็เหมือนปลาถามเต่า
    มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้


    ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้
    โดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป
    แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา
    สิ่งใดยังเดาอยู่ สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน แล้วหลวงปู่ก็ว่าที่อุปมาอย่างปลาถามเต่า
    ก็คือ เต่าอยู่ได้สองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ
    โลกในน้ำขืนมาบนบกก็ตายหมด ...


    วันหนึ่งเต่าลงไปในน้ำ แล้วก็พรรณนาความสุขสบาย
    บนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม
    ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ ปลาพากันฟังด้วยความสนใจและอยากเห็นบก
    จึงถามเต่าว่าบนบกนั้นลึกมากไหม
    เต่าว่ามันจะลึกอะไรก็มันบนบก


    เอ...บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไรก็มันบนบก
    เอ...บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร
    ก็มันบนบก ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม
    เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
    จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพานก็ไม่ต่างอะไรกับปลา
     
  14. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    โกรธมี แต่ไม่ได้เอามาใช้ เคยเห็นพระอรหันต์ กล่าวแบบนี้น่าจะหลายองค์

    หรือถึงใช้ การนำมาใช้นั้น ไม่ก่อให้เกิดกิเลศ ที่พอกพูนต่อไป
     
  15. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/74874759a00b787c90e72c331088b501" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ie/160526011547.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>


    พระอรหันต์ที่ยังต้องทนทุกข์อยู่กับขันธ์ห้า

    และยังต้องใช้ขันธ์ห้า ในการประกอบภาระกิจ

    เคยเห็นหลวงตามหาบัวร้องไห้ไหม ทั้งที่ท่านพ้นไปแล้ว

    เคยเห็นไหมที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

    ในการอบรมสั่งสอนศิษย์ ติเตียนศิษย์ เพราะท่าน

    กำลังใช้ขันธ์ทำงาน แต่จิตท่านจริงๆ น่ะ อยู่เหนือขันธ์

    อยู่เหนืออายตนะ ไม่ถูกอายตนะครอบงำจิต​
     
  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    หล่มที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักติดเสมอๆ และไม่ค่อยรู้ตัว
    คือหล่มแห่งภวตัณหา และวิภวตัณหา

    ภวตัณหาคือความอยากที่จะรักษาเอาไว้
    ซึ่งสภาวธรรมที่ดี ที่เจริญ ที่ละเอียดประณีต
    พยายามจะให้มันเป็นอย่างนั้น มีอยู่อย่างนั้นโดยตลอด

    ส่วนวิภวตัณหานั้นคืออยากที่จะไม่มี ไม่เป็น ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    คอยผลักดันหรือหลบหรือกดทับมันไว้ ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากมีเป็น

    อันนี้เป็นเรื่องของสภาวธรรมภายใน ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้ปฏิบัติ
    โดยมาก ขอให้รู้ ให้เท่าทัน ในสิ่งที่เกิดขึ้น ตระหนักถึง
    สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น เข้าใจ รู้ ว่าทุกๆสิ่งเป็นเพียง
    สิ่งที่ถูกรู้ มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
    ที่บังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง

    พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮั่นแน่ ระวัง นะจั๊บ

    พอไป เล็งหาสูตรสำเร็จ จะถลำเข้าไปข้าง นามธรรม

    จับ ตัณาหาสาม มาเปน แพะ แต่ส่วนเดียว มันจะฟ้องเลย ว่า เรือหาย แล้ว

    อย่าลืม กาย ฮับ ภวตัณหา จะอธิบาย ก็ต้องอธิบาย
    จากฐานกาย ถ้าจะจับฝ่ายนามก้ต้องวกกลับมาเหน กาย

    วิภวตัณหาถึงจะถูกส่วน

    หาดจิตไม่ได้รู้อยู่ที่ฐาน กายกับใจ เรือหายหมดแหละ

    เตรียมเอา สันติ ไปปะเค ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2016
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไปพินา หลายข้อความมาแล้ว

    ขออราธนา ท่านจอมยุติ มังกือคว้า ออกมาห่างๆ

    หนังสือหน้าต่างนั้นดีกว่า

    แล้ว ภาวนาคนเดียว งดตัดแปะธรรม ปะผุ (เตือน ครั้งที่ 3)

    ถ้าวิจัยมา เวทนาสาม เวทนาห้า เวทนาหก เวทนาสามสิบหก แล ร้อยแปด

    ตรงนี้ต้อง หัดปิดวาจา ปิดฉันทะในเวทนา จิ๊ดนึง

    ไม่งั้น เปนได้แค่ ธรรมก๊อปปี้ เอะอะทิ้ง ไม่ประกอบ
    สมถะ วิปัสสนา

    หนักข้อเข้า เดี๋ยวเถอะ นิพพานอยู่แล้ว มันปล่อยอยู่แล้ว
    ไม่ถือ ไม่หนัก ทุกข์ปล่อย สุขอยู่แล้ว


    สันติ !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2016
  19. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ความหลุดพ้นของพระพุทธองค์นั้น
    ไม่ใช่เป็นการหลุดพ้นจากสิ่งหนึ่ง
    เพื่อไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดีเลิศ
    แต่เป็นการหลุดพ้นจากกรงขัง
    แห่งความมี ความเป็นอันไม่มีที่สิ้นสุด
    สู่ความไม่มี ไม่เป็นในสิ่งใด
    ไม่มีสิ่งใดจะมาสำคัญในสิ่งใด
    แม้กระทั่งความไม่มี ไม่เป็นนั้นด้วย
    เป็นความบริสุทธิ์ หมดจด สิ้นเชิง
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/b656c28a90d86fefcc8d0b2689810646" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/id/160527065642.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>
     

แชร์หน้านี้

Loading...